Krishnamurti Subtitles home


BR79Q2 - การพบปะเพื่อ ถาม-ตอบ ครั้งที่ 2
บร็อกวู้ดพาร์ค สหราชอาณาจักร วันที่
30 สิงหาคม 1979



0:31  ขณะนี้เรามีทั้งหมด 150 คำถาม
 
0:39  ผมไม่คิดว่าเป็นไปได้
 
0:41  ที่เราจะตอบคำถามทั้งหมด
ในเช้าวันนี้
  
0:45  บางทีอาจจะต้องใช้เวลาถึง 1 เดือน
จึงจะตอบได้ทั้งหมด
  
0:49  แต่พวกคุณก็จะไม่อยู่กันที่นี่
ส่วนผมก็ไม่อยู่เช่นกัน
  
0:57  ผมคิดว่า
ก่อนที่เราจะตอบคำถามเหล่านี้
  
1:06  โปรดระลึกว่า
เรามีส่วนร่วมกันในคำถาม
  
1:10  เช่นเดียวกับในคำตอบ
 
1:16  อาจจะไม่ได้ตอบคำถามของคุณ
โดยเฉพาะ
  
1:21  เพราะคำถามมากมาย
เกินกว่าที่จะสำรวจได้ทุกคำถาม
  
1:23   
 
1:29  แต่ผมคิดว่าเราคัดสรรมาบ้างแล้ว
 
1:35  หรือรวบรวมมาเป็นคำถามตัวแทน
ของคำถามอื่น ๆ
  
1:40  ใน 140 คำถามนั้น
 
1:45  ผมจึงหวังว่าคุณคงไม่ว่ากระไร
 
1:47  ที่ไม่ได้ตอบคำถามของคุณโดยเฉพาะ
 
1:56  ผมเกรงว่าพวกเราส่วนใหญ่
 
1:59  ถามคำถามแล้ว
พยายามหาคำตอบจากคนอื่น ๆ
  
2:05   
 
2:13  เมื่อเราถามคำถาม
 
2:18  เราต้องตรวจสอบดูว่า
ทำไมเราจึงถามคำถามเหล่านั้น
  
2:23  มันเป็นคำถามที่แท้จริง ที่จริงจัง
และใช้กับชีวิตได้จริง ๆ หรือเปล่า
  
2:25   
 
2:29  หรือเป็นเพียงคำถาม
ที่คิดเพ้อฝันขึ้นมา
  
2:34  ฉะนั้นจึงไม่มีคำตอบ
 
2:39  ที่ถูกต้องเหมาะสม
และเป็นจริงได้
  
2:43  แต่อย่างที่เราพูดแล้วว่า
เรากำลังมีส่วนร่วมกัน
  
2:45  ในคำถามและในคำตอบ
 
2:49  และผมหวังว่า ในเช้าวันนี้
เราสามารถทำเช่นนั้นได้
  
3:09  ผมหวังว่า
คุณคงไม่รู้สึกร้อนจนเกินไป
  
3:13  ผู้พูดได้พูดมาแล้วว่า
การไปทำงานในที่ทำงานทุก ๆ วัน
  
3:16   
 
3:19  จาก 9 โมงเช้าจนถึง 5 โมงเย็นนั้น
เหมือนการถูกขังคุกอันเหลือทน
  
3:21   
 
3:24  แต่ในสังคมใด ๆ ก็ตาม
งานทุก ๆ อย่างจะต้องทำให้ลุล่วง
  
3:29   
 
3:32  ฉะนั้น คำสอนของ Kจึงมีไว้
เพื่อคนไม่กี่คนเท่านั้นหรือ
  
3:38  คุณเข้าใจแล้วหรือยัง
ผมอ่านอีกครั้งดีไหม
  
3:50  ผู้พูดเคยพูดว่า สังคมมนุษย์
 
3:53   
 
3:56  ที่ถูกสร้างขึ้นทั่วทั้งโลกนั้น
 
4:00  ผู้คนส่วนใหญ่ต้องยุ่งอยู่กับงาน
 
4:03   
 
4:07  ไม่ว่างานนั้นจะน่าพอใจหรือไม่
 
4:09  ตั้งแต่ 9 โมงเช้าจรด 5 โมงเย็น
ทุก ๆ วัน ในชีวิตของพวกเขา
  
4:16  และเขาก็พูดด้วยว่า
มันเหมือนสภาพการติดคุก อันสุดจะทน
  
4:17   
 
4:24  ผมไม่ทราบว่า พวกคุณ
รู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
  
4:27  บางที
คุณอาจจะชอบการอยู่ในห้องขัง
  
4:30  คุณอาจจะชอบงาน
จาก 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็นของคุณ
  
4:33   
 
4:35  ต้องเร่งรีบไปมา
และอื่น ๆ ทำนองนั้น
  
4:41  แล้วเราจะทำอย่างไรดี
 
4:47  สำหรับผู้พูด
เขาจะไม่ทนเลย
  
4:52  แม้สักนาทีเดียว
สำหรับผู้พูดนะครับ
  
4:56  ผมจะทำอะไรบางอย่าง
ซึ่งผมรู้สึกสบายใจ พอใจ
  
5:01  เป็นงานที่มีประโยชน์และจำเป็น
เพื่อให้มีรายได้เพียงพอเป็นต้น
  
5:04   
 
5:08  แต่พวกเราส่วนใหญ่
ยอมรับคุกขังนี้
  
5:12  ยอมรับความซ้ำซากจำเจนี้ ใช่ไหม
 
5:18   
 
5:20  คุณเข้าใจไหม
เรายอมรับสภาพนั้น
  
5:22  แล้วเราจะทำยังไงกันดี
 
5:29  เท่าที่เราสามารถจะสังเกต
อย่างมีประสิทธิภาพพอ
  
5:32   
 
5:37  ไม่มีใครที่เคยตั้งข้อกังขา
ต่อสภาพเช่นนี้ ไม่มีใครเลยจริง ๆ
  
5:40   
 
5:44  เราต่างก็บอกว่า
มันเป็นเรื่องปกติ
  
5:47  มันเป็นวิถีของสังคม
มันเป็นวิถีของชีวิตเรา
  
5:51  มันเป็นวิถีที่เราต้องมีชีวิตอยู่
 
5:54  แต่ถ้าเราทั้งหมดเห็นร่วมกันว่า
การถูกจองจำเยี่ยงนั้น
  
5:58   
 
6:03  ซึ่งมันเป็นความจริง
 
6:07  ที่เราทุกคนรู้สึก ว่ามันสุดจะทน
เราก็จะทำอะไรบางอย่างกับสภาพนั้น
  
6:11  ไม่เพียงปากพูด
แต่ทำอะไรบางอย่างจริง ๆ
  
6:14  เราจะสร้างสังคมใหม่ ใช่ไหม
 
6:18  ถ้าพวกเราทุกคนบอกว่า
เราจะไม่ยอมทน
  
6:22   
 
6:24  แม้เพียงวันเดียว
ต่อสภาพซ้ำซากจำเจนี้
  
6:28   
 
6:34  ที่ทารุณโหดร้าย
ตั้งแต่ 9 โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็น
  
6:37  ไม่ว่ามันจะจำเป็นแค่ไหน ไม่ว่า
มันจะดีและน่าพอใจแค่ไหน ก็ตาม
  
6:41  แล้วเราก็จะก่อให้เกิดการปฏิวัติ
 
6:45  ไม่เพียงทางด้านจิตใจเท่านั้น
แต่ปฏิวัติทางด้านนอกด้วย
  
6:50  ใช่ไหมครับ
 
6:53  เราอาจจะเห็นด้วย
แต่เราทำกันหรือเปล่า
  
6:59  คุณอาจจะบอกว่า
ผมทำอย่างนั้นไม่ได้
  
7:01  เพราะว่า ผมมีความรับผิดชอบ
 
7:04  ผมมีลูก ๆ
มีบ้านที่ติดจำนอง
  
7:07   
 
7:10  มีค่าประกันที่ต้องจ่าย
ขอบคุณพระเจ้า ที่ผมไม่มีอะไรสักอย่าง!
  
7:13   
 
7:19  และคุณก็อาจจะพูดด้วยว่า
 
7:21  "มันง่ายสำหรับคุณ
ที่จะพูดเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้"
  
7:31  แต่มันง่ายจริง ๆ สำหรับผู้พูด
ที่จะพูดเรื่องนี้
  
7:33  เพราะเขาปฏิเสธ
การเข้าไปในแบบแผนนั้น
  
7:38  เขาปฏิเสธมา
ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
  
7:45  ตอนนี้ ถ้าเราทุกคนรับพิจารณา
 
7:48  การปฏิวัติทางจิตใจเยี่ยงนั้น
 
7:54  เหมือนกับการปฏิวัติทางกายภาพ
 
7:56  โดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อ
และอื่น ๆ ทำนองนั้น
  
8:00  เราก็จะสร้างสังคม
ชนิดที่ต่างออกไปเลย ไม่ใช่หรือ
  
8:05   
 
8:09  คุณต้องการจะให้คนอื่น
สร้างสังคมขึ้นมา
  
8:13  แล้วคุณสามารถ
ที่จะเล็ดลอดเข้าไปในนั้นได้
  
8:16  นั่นคือสิ่งที่พวกเราทุกคน
ต่างรอคอย
  
8:21  มีไม่กี่คนเท่านั้น ที่ดิ้นรนต่อสู้
ลงมือทำเพื่อสรรค์สร้าง
  
8:28  และปฏิเสธที่จะเข้าไป
ในวังวนอันดุเดือด
  
8:34  ส่วนบุคคลอื่น ๆ
ก็บอกว่า
  
8:35  "ได้เลย หลังจากที่คุณได้สร้างสังคม
ที่คุณคิดว่าถูกต้องขึ้นมา
  
8:40  "ผมจะเข้าร่วมกับคุณ"
แต่เราไม่ร่วมลงมือทำ
  
8:43   
 
8:47  นั่นแหละคือปัญหาทั้งหมด
ของเรื่องนี้
  
8:51  ใช่ไหม
 
8:55  ถ้าทุกคนรู้สึกถึงความจริงนี้จริง ๆ
ไม่ใช่เป็นเพียงแนวคิด
  
8:58   
 
9:01   
 
9:04  รู้สึกถึงการใช้ชีวิตของเรา
จาก 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น
  
9:07  บางทีอาจจะเช้ากว่านั้นอีก
 
9:09  เป็นมาอย่างนั้นทุกวัน ในชีวิตเรา
ถึง 60 ปี และนานกว่านั้นอีก
  
9:17  เราก็จะทำอะไรบางอย่าง
ต่อเรื่องนี้
  
9:21  เหมือนกับการที่คุณปฏิเสธสงคราม
 
9:27  คุณเข้าใจไหม
สงคราม การเข่นฆ่าคนอื่น ๆ
  
9:32  ในนามประเทศชาติของคุณ
เพื่อพระเจ้าของคุณ
  
9:36  ไม่ว่าจะเพื่ออุดมการณ์อะไรก็ตาม
ถ้าหากคุณทุกคนปฏิเสธการฆ่าคนอื่น
  
9:38   
 
9:41  สงครามก็จะไม่เกิดขึ้น
ใช่ไหม
  
9:45   
 
9:47  แต่เราได้วางโครงสร้างสังคม
 
9:50  สร้างสังคม
อยู่บนพื้นฐานของความรุนแรง
  
9:57  การสั่งสมอาวุธยุทโธปกรณ์
และแต่ละชาติ ต่างปกป้อง
  
9:59  ปกป้องชาติของตน จากชาติอื่น ๆ
 
10:03  ดังนั้น เราจึงต่างทำให้สงคราม
คงอยู่สืบไป
  
10:06   
 
10:09  สงครามที่ฆ่าลูกชายหญิง
พรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากคุณ
  
10:14  และเราสนับสนุนสงครามนั้น
 
10:18  เหมือนกับที่เราสนับสนุน
และสืบทอดการถูกจองจำเอาไว้
  
10:21   
 
10:28  มันอาจจะเป็นความน่าพอใจ
สำหรับคนที่ทำงานที่เห็นชอบด้วย
  
10:33  แต่คนที่ปฏิเสธ
ที่จะเข้าไปในเกมส์นี้
  
10:38  พวกเขาจะกระทำการ
พวกเขาจะลงมือทำอะไรบางอย่าง
  
10:42  ฉะนั้น ปัญหาก็คือ
 
10:45  เราเห็นความสำคัญ
 
10:50  หรือเห็นความจำเป็น
ที่จะต้องเปลี่ยนแปลง หรือเปล่า
  
10:57  ที่สุดแล้ว จิตของมนุษย์นั้น
ไม่ใช่แค่เพื่อหมกมุ่นกับงาน
  
11:00   
 
11:05  วุ่นวายอยู่กับการงานใดโดยเฉพาะ
ไม่ว่าจะพึงใจ หรือไม่พึงใจก็ตาม
  
11:08   
 
11:11  จิตมนุษย์
มีคุณสมบัติอื่น ๆ ด้วย
  
11:21  ซึ่งเราเพิกเฉย ไม่ใส่ใจ
 
11:26  แต่เราเกี่ยวข้องอยู่กับ
ชีวิตทั้งชีวิต
  
11:28  ไม่ใช่แค่งานอาชีพ 9-5 โมงเย็น
แต่เรามีชีวิตอยู่อย่างไร
  
11:32   
 
11:34  มีความอาทร ความเอาใจใส่
 
11:36   
 
11:39  มีความรัก ความเมตตา
บ้างหรือเปล่า
  
11:43  ทั้งหมดนั้น
เป็นองค์ประกอบของชีวิต
  
11:48  แต่เราถูกครอบงำ
 
11:51  ให้อยู่ในแนวคิดที่เราต้องทำงาน
 
11:59  และเราวางโครงสร้างของสังคม
 
12:02  ที่เรียกร้องให้เราต้องทำงาน
 
12:07  จากเช้าจรดค่ำ
 
12:13  ผู้พูดไม่ยอมเข้าไปในสังเวียน
การแข่งขันที่ดุเดือดนั้น
  
12:20  ไม่ใช่ว่าเขามีพรสวรรค์พิเศษ
 
12:24  ไม่ใช่ว่ามีใครบางคน
จะคอยดูแลอุปถัมภ์เขา
  
12:28  แต่เขาไม่ยอมเข้าไปในนั้น
 
12:31  ผมจะไม่เข้าไปแม้แต่เพียงวันเดียว
 
12:35  จาก 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น
ไม่ว่าเพื่อใคร เพื่ออะไรทั้งสิ้น
  
12:43  ผมจะยอมตาย
แต่ผมจะไม่ยอมทำอย่างนั้น
  
12:48  ในทำนองเดียวกัน
ผมจะไม่ฆ่ามนุษย์คนอื่นเลย
  
12:52  ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม
 
12:54  ผมทราบว่า
คุณจะพูดอะไร
  
12:56  "ถ้าน้องสาวของคุณถูกทำร้ายล่ะ
คุณจะทำยังไง"
  
12:58  คุณก็รู้เกมส์ที่เล่นกันอยู่
 
13:06  เพราะความรุนแรง
จะทำให้เกิดความรุนแรงยิ่ง ๆ ขึ้น
  
13:11  คุณก็เห็นอยู่แล้วในประเทศไอร์แลนด์
 
13:18  แต่เราทุกคนขี้ขลาดเหลือเกิน
 
13:24  เราขี้กังวล ขี้กลัว
กระวนกระวาย เป็นทุกข์
  
13:28  เราต้องการความมั่นคงปลอดภัย
ซึ่งเราคิดว่าเรามี แต่เราหามีไม่
  
13:32   
 
13:37  ดังนั้น คุณจะพิจารณาเรื่องนี้ไหม
 
13:45  เพื่อค้นหาว่า คุณจะปลดปล่อยตนเอง
ออกจากสังเวียนนั้น ได้ไหม
  
13:48   
 
13:51   
 
13:56  และการที่จะค้นหา
เราต้องใช้ความสามารถ ใช้สติปัญญา
  
13:59   
 
14:03  ไม่พูดว่า "เราไม่เข้าไปหรอก"
 
14:07  คุณไม่เข้าไปในสังเวียน
ก็เพราะคุณมีสติปัญญา
  
14:12  ไม่ใช่เพราะมีใครบอกคุณ
 
14:14  หรือคุณอ่านจากหนังสือ
หรือนักปรัชญาพูดไว้
  
14:19  ผมคิดว่า ที่พูดมาชัดเจนมากแล้ว
 
14:25  และผู้ถาม ยังถามด้วยว่า
 
14:30  คำสอนของ K จึงมีไว้
สำหรับคนไม่กี่คนเท่านั้นหรือ
  
14:36  นี่เป็นคำถามหนึ่ง
ที่ถามกันแล้วถามกันอีก
  
14:38   
 
14:47  คุณคิดอย่างไรล่ะ
 
14:53  ถ้าคำสอนนี้มีไว้เพื่อคนไม่กี่คน
มันก็ไม่คุ้มค่า
  
14:57  เดี๋ยวก่อนครับ
ขอให้พิจารณาไปช้า ๆ
  
15:01  ผู้พูดบอกว่า
มันมีไว้สำหรับทุก ๆ คน
  
15:08  แต่คนทุกคนไม่ได้รู้สึกจริงจัง
 
15:19  ไม่ได้มีพลังงาน เพราะว่า
เขาใช้พลังงานไปในทางต่าง ๆ กัน
  
15:25  ดังนั้น จึงค่อย ๆ หดหายไป
เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
  
15:30   
 
15:33   
 
15:39  เมื่อสังเกตเห็นอย่างนั้น คุณจึง
บอกว่า คำสอนมีไว้สำหรับคนไม่กี่คน
  
15:44  แต่หากว่า ถ้าคุณลงมือทำจริง ๆ
 
15:47  พิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง
ด้วยจิตใจที่ถาม เพื่อสืบค้น
  
15:49   
 
15:52   
 
15:55  จิตใจที่ต้องการจะมีชิวิต ชนิดที่
ต่างออกไป คำสอนจึงเพื่อทุก ๆ คน
  
15:59  มันไม่มีอะไรเกี่ยวกับคำสอน
ที่เป็นความลับ
  
16:05  แต่มีความลึกลับอันยิ่งใหญ่
ที่ไม่อาจอธิบายได้
  
16:07  ถ้าคุณพ้นไปจากความจำกัดแคบ
ของความคิด
  
16:13  แต่เราไม่ทำสิ่งเหล่านี้กันเลย
 
16:14  เราไม่ทดลองดู
เราไม่นำมาใช้
  
16:17  เราไม่กินอาหารที่วางไว้ให้
เบื้องหน้าเรา
  
16:24  มีไม่กี่คนเท่านั้น ที่กินอาหารนั้น
แล้วบอกว่า"เราคือคนชั้นยอดในสังคม"
  
16:27   
 
16:32  แต่จริง ๆ แล้ว
พวกเขาไม่ใช่คนชั้นยอด
  
16:34  พวกเขาเป็นเพียงคนที่จริงจัง
ที่ได้นำมาใช้กับชีวิต
  
16:38  ได้ใคร่ครวญเกี่ยวกับมัน
ได้พิจารณาสืบค้น
  
16:43  ดูว่ามันมีผลกระทบต่อชีวิต
ในแต่ละวันของพวกเขา หรือเปล่า
  
16:48  จากนั้นเท่านั้น ที่เราสามารถ
จะสร้างสังคมชนิดที่ต่างออกไปได้
  
16:52   
 
17:01  การเห็นแจ้งเป็นการหยั่งรู้
โดยสัญชาตญาณ ไม่ใช่หรือ
  
17:06  คุณสนทนาถึงเรื่องความกระจ่างแจ้ง
อันฉับพลัน
  
17:09  ที่เกิดขึ้นกับพวกเราบางคนได้ไหม
 
17:12  การเห็นแจ้ง คุณหมายถึงอะไร
 
17:14  และมันเป็นสิ่งที่มีอยู่ชั่วครู่
หรือมันคงอยู่อย่างต่อเนื่อง
  
17:19   
 
17:23  ผมอ่านคำถามอีกครั้งดีไหม
ผู้ฟัง: ดีครับ
  
17:28  การเห็นแจ้งเป็นการหยั่งรู้
โดยสัญชาตญาณ ไม่ใช่หรือ
  
17:34  ผมมั่นใจว่า พวกคุณเคยได้ยิน
คำ 2 คำนี้มาแล้ว
  
17:37  คุณจะสนทนาเกี่ยวกับ
ความกระจ่างแจ้งอันฉับพลัน
  
17:41  ที่เกิดขึ้นกับพวกเราบางคน ได้ไหม
 
17:43  การเห็นแจ้ง คุณหมายถึงอะไร
 
17:47  มันเป็นสิ่งที่มีอยู่ชั่วครู่
ชั่วยาม หรือคงอยู่อย่างต่อเนื่อง
  
17:50   
 
17:54   
 
18:05  ในการพูดหลาย ๆ ครั้ง ผู้พูดได้
 
18:10  ผู้พูดได้ใช้คำว่า "การเห็นแจ้ง"
 
18:16  ซึ่งหมายถึง
การเห็นเข้าไปในสรรพสิ่ง
  
18:22  เห็นเข้าไปในการเคลื่อนไหว
ทั้งหมดของความคิด
  
18:27  เห็นเข้าไปในโครงสร้างทั้งหมด
อย่างเช่น ความอิจฉา
  
18:33  มองเห็น สัมผัสรู้ถึงธรรมชาติ
ของความโลภ
  
18:38  เห็นถึงเนื้อหาทั้งมวล
ของความทุกข์โศก
  
18:45  ซึ่งไม่ใช่การวิเคราะห์
 
18:50  ไม่ใช่การใช้ความสามารถ
ทางปัญญาความคิด
  
18:57  ทั้งไม่ใช่ผลที่มาจากความรู้
 
19:05  ความรู้คือสิ่งซึ่งได้สั่งสม
รวบรวมเอาไว้แล้ว
  
19:08  โดยผ่านประสบการณ์ในอดีต
แล้วสั่งสมอยู่ในสมอง
  
19:12   
 
19:14  ฉะนั้น ความรู้จึงเคียงคู่
ไปกับความโง่เขลาเสมอ
  
19:16   
 
19:20  ความรู้ที่สมบูรณ์ไม่มีหรอก
 
19:25  ฉะนั้น จึงมีความรู้
และความโง่เขลา อยู่คู่กันเสมอ
  
19:29  เสมือนม้าสองตัว ที่ผูกล่ามติดกัน
 
19:33   
 
19:39  เมื่อเป็นเช่นนั้น
การเห็นแจ้งคืออะไรเล่า
  
19:42  คุณเข้าใจคำถามของผมไหม
คุณตามเรื่องที่พูดทันหรือเปล่า
  
19:44   
 
19:47  เช้าว้นนี้อากาศร้อน
 
19:49  แต่ไม่เป็นไร
หรือเป็นนิดหน่อย
  
19:59  ถ้าการสังเกต
ไม่ได้มาจากฐานของความรู้
  
20:04  ไม่ได้มาจากความสามารถ
ทางปัญญาความคิดที่มีเหตุมีผล
  
20:10  ที่สำรวจตรวจสอบ ที่วิเคราะห์
ถ้าเช่นนั้น การเห็นแจ้งคืออะไร
  
20:17   
 
20:19   
 
20:22  นั่นคือปัญหาทั้งหมด
 
20:24  แล้วผู้ถาม ยังถามด้วยว่า
มันเป็นการรู้โดยสัญชาตญาณหรือ
  
20:27   
 
20:31  คำว่า "รู้โดยสัญชาตญาณ"
ดูเหมือนมีกลเม็ดอยู่
  
20:38  เพราะว่าพวกเราหลายคน
ใช้คำคำนั้น
  
20:46  การรู้โดยสัญชาตญาณนั้น
แท้ที่จริงอาจเป็นผลของความอยาก
  
20:53  เราอาจจะอยากได้อะไรบางอย่าง
 
20:56  แล้วอีกไม่กี่วันต่อมา คุณเกิด
รู้ขึ้นมาเกี่ยวกับเรื่องนั้น
  
21:01  และคุณคิดว่าการที่เกิดรู้สึกขึ้นมา
เป็นสิ่งสำคัญพิเศษสุด
  
21:06  แต่หากว่า คุณพิจารณาเรื่องนี้
อย่างค่อนข้างลุ่มลึก
  
21:09  คุณอาจจะพบว่า มันมีพื้นฐาน
อยู่บนความอยาก ความกลัว
  
21:11   
 
21:14  ความสุขในรูปแบบต่าง ๆ
 
21:17  ดังนั้น ผมค่อนข้างกังขา
เกี่ยวกับคำคำนั้น
  
21:22  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคน
ที่ค่อนข้างเพ้อผันใช้คำนั้น
  
21:27  หรือคนที่ช่างจินตนาการ ที่อารมณ์
อ่อนไหว และเขาต้องการอะไรบางอย่าง
  
21:29   
 
21:36  คนพวกนี้ต้องเกิดความรู้สึก
ขึ้นโดยสัญชาตญาณอย่างแน่นอน
  
21:39  แต่มันอาจจะมาจาก
ความอยากบางอย่าง
  
21:42  ที่เห็นได้ง่าย ๆ
ว่าเป็นการหลอกตัวเอง
  
21:48  ฉะนั้นขณะนี้ เราทิ้งคำว่า
การรู้โดยสัญชาตญาณเอาไว้ก่อน
  
21:54  ผมหวังว่า
ผมไม่ได้ทำให้ใครก็ตามเสียใจ
  
21:58  ใครก็ตาม
ที่ติดอยู่ในการรู้โดยสัญชาตญาณ
  
22:06  ถ้าหากไม่ใช่อย่างนั้น
แล้วการเห็นแจ้งคืออะไร
  
22:12  การเห็นแจ้งคือ
การรับรู้อะไรบางอย่าง ทันทีทันใด
  
22:17  ซึ่งต้องเป็นจริง มีตรรกะวิสัย
เป็นปรกติ เป็นเหตุเป็นผล
  
22:20   
 
22:26  คุณเข้าใจหรือเปล่า
 
22:29  และการเห็นแจ้งนั้น
ต้องปฏิบัติการทันควัน
  
22:36  ไม่ใช่ว่าผมมีการเห็นแจ้ง
แล้วไม่ทำอะไรเกี่ยวกับมันเลย
  
22:38   
 
22:43  ถ้าหากผมมีการเห็นแจ้ง
 
22:46  ถ้าบุคคลมีการเห็นแจ้ง
ในธรรมชาติทั้งปวงของความคิด
  
22:48   
 
22:52  คุณเข้าใจไหม
 
22:54  ผมจะอธิบาย
เกี่ยวกับความคิดสักเล็กน้อย
  
22:58  การคิด
เป็นการตอบสนองของความจำ
  
23:04  ความทรงจำ
เป็นผลที่มาจากประสบการณ์
  
23:10  มาจากความรู้
ที่เก็บสั่งสมอยู่ในสมอง
  
23:15  ประสบการณ์นั้นตอบสนอง
 
23:19  ถ้าถามว่า คุณอยู่ที่ไหน
คุณก็จะตอบ
  
23:23  ถามว่า คุณชื่ออะไร
 
23:25  ก็จะมีการตอบออกมาทันที เป็นต้น
 
23:29  ความคิดเป็นผล
หรือเป็นการตอบสนองของประสบการณ์
  
23:33  และความรู้
ที่สั่งสมขึ้นเป็นความทรงจำ
  
23:38  เรื่องนั้นง่าย ๆ
 
23:42  ความคิดจึงขึ้นอยู่กับความรู้
หรือเป็นผลมาจากความรู้
  
23:47   
 
23:49  ความคิดจึงถูกจำกัด
เพราะความรู้เป็นสิ่งจำกัด
  
23:52   
 
23:57  ความคิด
ไม่เคยรวมทั้งหมดทุกอย่างได้
  
24:05  มันต้องเป็นส่วนเสี้ยว
ที่ถูกจำกัดอยู่เสมอ
  
24:09  เพราะมันอยู่บนพื้นฐานของความรู้
และความโง่เขลา
  
24:13  ฉะนั้น มันจึงมีขอบเขตขีดคั่น
 
24:18  มันจึงจำกัดแคบตลอดไป
ใช่ไหม
  
24:22   
 
24:24  แล้วการที่จะเห็นแจ้ง
เข้าไปในการคิด
  
24:28   
 
24:31  ซึ่งหมายถึงปฏิบัติการ ที่ไม่ใช่
เป็นเพียงการทำซ้ำ ๆ ของความคิด
  
24:35   
 
24:37  จะเกิดขึ้นได้หรือ
คุณตามทั้งหมดนี้ทันไหม
  
24:40   
 
24:42  เช่นการเห็นแจ้ง
ในความเป็นสถาบัน เป็นองค์กร
  
24:45  เข้าใจไหม
 
24:52  การเห็นแจ้งเข้าไปในนั้น
 
24:55  ซึ่งหมายถึง คุณกำลังสังเกต
โดยไม่มีความจำ
  
24:57   
 
25:01  ไม่มีความทรงจำ
ไม่มีการโต้เถียง ให้เหตุผล
  
25:03  ไม่มีการเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
 
25:08  เพียงแค่มองเห็น
การเคลื่อนไหวทั้งหมด
  
25:13  และมองเห็นการเรียกร้อง
ต้องการสถาบัน
  
25:18  จากนั้น คุณก็มีการเห็นแจ้ง
ในเรื่องนั้น
  
25:20  และจากการเห็นแจ้งนั้น
คุณกระทำ
  
25:25  การกระทำนั้นจะสมเหตุสมผล
เป็นปรกติ สมบูรณ์
  
25:31   
 
25:34  ไม่ใช่คุณมีการเห็นแจ้ง
 
25:37  แล้วคุณทำตรงกันข้าม
นั่นไม่ใช่การเห็นแจ้ง
  
25:40   
 
25:43  ผมสงสัยว่า
คุณเข้าใจนัยทั้งหมดนี้ หรือเปล่า
  
25:47  ขออภัยที่ต้องหนักแน่น
เด็ดขาด
  
25:51  นั่นคือวิถีทางที่ผมแสดงออก
 
26:00  การที่จะมีการเห็นแจ้ง
อย่างเช่น
  
26:03  เห็นแจ้งในความเจ็บปวด ในบาดแผล
ทางใจ ที่เราได้รับมาตั้งแต่เด็ก
  
26:06   
 
26:10  คุณเข้าใจคำถามไหม
 
26:14  พวกเราต่างก็เป็นคนที่เจ็บปวด
มาด้วยเหตุผลต่าง ๆ
  
26:19   
 
26:22  ตั้งแต่เป็นเด็ก จนกระทั่งเราตาย
มีบาดแผลนี้อยู่ในจิตใจเรา
  
26:25   
 
26:30  การที่จะมีการเห็นแจ้ง
 
26:32  เข้าสู่ธรรมชาติ และโครงสร้าง
ทั้งหมดของความเจ็บปวดนั้น
  
26:38  คุณเข้าใจไหม
ว่าผมกำลังพูดถึงอะไร
  
26:40  ทั้งหมดนี้คุณตามทันไหม
 
26:44  พวกคุณมีความเจ็บปวด
ไม่ใช่หรือครับ
  
26:46  เป็นบาดแผลทางจิตใจ
 
26:52  คุณจะเล่นเกมส์กับผมด้วยได้ไหม
 
26:56  ขณะนี้ลูกบอลอยู่ในสนามฝั่งคุณ
 
27:03  มันเป็นเรื่องชัดเจน
ที่พวกคุณมีบาดแผลทางใจ
  
27:10  คุณอาจจะไปหานักจิตวิทยา
นักจิตวิเคราะห์ นักจิตบำบัด
  
27:15  แล้วพวกเขาก็สืบสาวย้อนหลังไป
 
27:17  ตั้งแต่คุณยังเป็นเด็ก
ว่าทำไมคุณจึงเจ็บปวด
  
27:19  เป็นเพราะแม่คุณเป็นอย่างนี้
พ่อคุณเป็นอย่างนั้น
  
27:21  หรือคุณถูกจับให้นั่ง
บนกระโถนผิดใบ
  
27:23  หรือกระโถนถูกใบ
และยังอื่น ๆ อีก
  
27:26  โปรดพิจารณาในเรื่องนี้
 
27:34  โดยเพียงการเฝ้าดู
หรือการค้นหาสาเหตุ
  
27:39  ความเจ็บปวดจะไม่สลายไป
 
27:41  ใช่ไหม
 
27:42  ความเจ็บปวดมีอยู่
 
27:47  และผลที่ตามมา
ของความเจ็บปวดนั้น ก็คือ
  
27:53  การปลีกแยกตัวออกไป
มีความกลัวและการต่อต้าน
  
27:57  และเพื่อที่จะไม่ให้เจ็บปวดมาก
ไปกว่านี้ คุณจึงปิดล้อมตนเองเอาไว้
  
27:59   
 
28:02  คุณก็รู้ทั้งหมดนี้ดี
 
28:05  นั่นคือกระบวนการทั้งหมด
ในการเกิดความเจ็บปวด
  
28:09  ความเจ็บปวด คือมโนภาพ
 
28:11  ที่คุณสร้างขึ้นด้วยตัวคุณเอง
เกี่ยวกับตัวคุณ
  
28:14   
 
28:16  คุณคงเข้าใจใช่ไหม
 
28:21  ตราบเท่าที่มโนภาพยังคงอยู่
คุณต้องได้รับความเจ็บปวดแน่นอน
  
28:24   
 
28:28  การที่จะเห็นแจ้งในทั้งหมดนั้น
โดยปราศจากการวิเคราะห์
  
28:31   
 
28:36  แต่เห็นมันทันควัน
 
28:40  และในการรับรู้
ของการเห็นแจ้งนั้น
  
28:44  ซึ่งเรียกร้องความใส่ใจ
 
28:47  และพลังงานทั้งหมดของเรา
ความเจ็บปวดก็สลายไปเอง
  
28:49   
 
28:52  และเมื่อมันสลายหายไป
ความเจ็บปวดจะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป
  
28:55  ผมไม่แน่ใจว่า คุณเข้าใจไหม
 
29:03  ถ้าผมจะขอถาม
ด้วยความสุภาพที่สุดว่า
  
29:10  เมื่อคุณได้ฟังเรื่องนี้แล้ว
คุณมีการเห็นแจ้งนั้นไหม
  
29:12   
 
29:15  ที่จะสลายบาดแผลอันเจ็บปวดของคุณ
ได้สิ้นเชิง โดยไม่เหลือร่องรอย
  
29:20   
 
29:22  ฉะนั้นจึงไม่เจ็บปวดอีกต่อไป
ไม่มีใครจะทำให้คุณเจ็บปวดได้อีกเลย
  
29:24   
 
29:26  คุณเข้าใจไหม
ทำให้คุณเจ็บไม่ได้
  
29:28  เพราะมโนภาพที่คุณสร้างขึ้น
เกี่ยวกับตัวคุณเองหมดสิ้นไปแล้ว
  
29:30   
 
29:34  คุณตามทั้งหมดนี้ทันหรือเปล่า
 
29:37  คุณกำลังทำอยู่หรือเปล่า
 
29:38  หรือว่าคุณแค่เพียงให้ความใส่ใจ
ในคำพูด ในระดับถ้อยคำ
  
29:41   
 
30:00  ผู้ถาม - ผมไม่เข้าใจจริง ๆ
ว่าคุณหมายถึงอะไร
  
30:04  เมื่อคุณพูดว่า
เราสร้างความเจ็บปวดขึ้นมาเอง
  
30:08   
 
30:25  K - ประการแรก
ใครคือผู้เจ็บปวด
  
30:29  การถูกทำให้เจ็บปวด
คุณหมายถึงอะไร
  
30:37  คุณครับ คุณหมายถึงอะไร
ที่ว่าถูกทำให้เจ็บปวด
  
30:40  คุณบอกว่า "ฉันเจ็บปวด"
 
30:43  แต่คุณรู้ตัวถึงความเจ็บปวดนั้น
หรือเปล่า
  
30:47  เรารู้สึกปวดร้าว
 
30:52  สิ่งที่เจ็บปวดอยู่นั้น
คืออะไรกันแน่
  
30:54  คุณเข้าใจคำถามของผมไหม
เข้าใจไหมครับคุณ
  
30:55  อะไรคือสิ่งที่เจ็บปวด
 
31:01  คุณบอกว่า "มันก็คือผม"
 
31:04  "ผม" นั้นคืออะไร
 
31:07  มันก็คือมโนภาพที่คุณมี
เกี่ยวกับตัวคุณ
  
31:12  ถ้ามีมโนภาพเกี่ยวกับตนเอง
 
31:15  ว่าเป็นคนทางจิตวิญญาณ
ที่ประเสริฐอย่างนั้นอย่างนี้
  
31:20  แล้วคุณก็มาพูดว่า
 
31:21  "ไม่ใช่หรอก คุณเป็นคนโง่ทึ่ม"
ผมจึงรู้สึกเจ็บปวด
  
31:28  นั่นคือความคิด
-โปรดติดตามนะครับ
  
31:31  ความคิดสร้างมโนภาพ
เกี่ยวกับตนเองขึ้นมา
  
31:34   
 
31:38  และมโนภาพนั้น
คอยเปรียบเทียบอยู่เสมอ
  
31:47  ว่ามโนภาพของผม
เหนือกว่าของคุณ
  
31:50  และอื่น ๆ อีกมากมาย
 
31:53  ดังนั้น ตราบใดที่เรามีมโนภาพ
เกี่ยวกับตนเอง
  
31:57   
 
31:59  มันก็จะถูกเหยียบย่ำไปมา
โดยคนนั้นคนนี้
  
32:04  และนั่นเราเรียกว่าความเจ็บปวด
เป็นบาดแผลทางจิตใจ
  
32:08   
 
32:12  การเห็นแจ้งเข้าไปในเรื่องนั้น
 
32:14  หมายถึงการมองเห็น
การเคลื่อนไหวทั้งหมด
  
32:20  เห็นสาเหตุและเห็นมโนภาพด้วย
 
32:25  ฉะนั้น การหยั่งเห็นขบวนการนั้น
ทำให้มโนภาพจบสิ้นไป
  
32:30  คุณเข้าใจหรือเปล่า
ไม่เข้าใจหรือครับ
  
32:32   
 
32:40  อากาศร้อนจังเลย
 
32:45  ขอโทษครับเรื่องหวี
ผมลืมไป
  
33:01  คุณพูดว่าองค์กร
จะไม่ช่วยให้มนุษย์ค้นพบ
  
33:05  ในสิ่งที่พวกเราคริสเตียนเรียกว่า
การช่วยให้พ้นบาป
  
33:12  ถ้าเช่นนั้น
ทำไมคุณจึงมีองค์กรของคุณเอง
  
33:18  คุณบอกว่าองค์กร
จะไม่ช่วยให้มนุษย์
  
33:23  ค้นพบสิ่งที่เราชาวคริสเตียน
เรียกว่า การช่วยให้พ้นบาป
  
33:27  แล้วทำไมคุณจึงมีองค์กรของคุณเอง
 
33:42  ในปี 1925 บางทีพวกคุณบางคน
อาจจะยังไม่เกิด
  
33:45   
 
33:48  ในปี 1925 ผู้พูดเป็นผู้นำองค์กร
ซึ่งใหญ่โตมโหฬาร
  
33:52   
 
33:56  เขาเป็นผู้นำองค์กรนั้น
 
33:58  ผู้คนในองค์กรแหงนมองเขา
ด้วยความเลื่อมใสศรัทธา
  
34:01   
 
34:04  พวกเขาจุดเทียนบูชา
และทำสิ่งทั้งหลายทำนองนั้น
  
34:08  โปรดอย่าหัวเราะ
เราเพียงกล่าวถึงความจริง
  
34:18  องค์กรนั้น
ถือเป็นองค์กรทางจิตวิญญาณ
  
34:21  เป็นสถาบันหนึ่งทางศาสนา
 
34:25  ในปี 1925 หรือ 28 หรือ 29
ผมก็ลืมไปแล้ว
  
34:29  แต่มันไม่สำคัญเลย
 
34:34  องค์กรนั้นชื่อว่า
"The Order of The Star"
  
34:37  ได้ถูกสลายไปโดยผู้พูด
 
34:40  เพราะเขาได้พูดว่า
องค์กรทางจิตวิญญาณใด ๆ ก็ตาม
  
34:44  ไม่ว่าประเภทใด
ไม่เกี่ยวข้องกับทางจิตวิญญาณเลย
  
34:50  แล้วเขาก็สลายองค์กรนั้นไป
 
34:53  คืนทรัพย์สิน
และงานทั้งหมดขององค์กร
  
35:00   
 
35:04  ตอนนี้เขามี - ไม่ใช่เขามี
- แต่มีมูลนิธิอยู่ในหลายประเทศ
  
35:10  ในอินเดีย ในประเทศนี้
ในอเมริกา และในแคนาดา
  
35:12   
 
35:15   
 
35:19  ในอินเดียมี 5 โรงเรียน
 
35:23  อยู่ในส่วนต่าง ๆ ของประเทศ
แต่ละโรงเรียนมีเนื้อที่มหาศาล
  
35:27   
 
35:31  โรงเรียนเหล่านี้
 
35:34  ดำเนินงานภายใต้
มูลนิธิกฤษณมูรติ
  
35:40  ซึ่งรับผิดชอบในการดูแลผืนดิน
 
35:42  ดูแลให้โรงเรียนดำเนินไป
ในทิศทางที่ถูกต้อง ไม่มากก็น้อย
  
35:45   
 
35:47  แต่คงจะไม่ถูกทางมากกว่า!
 
35:51  ที่ประเทศนี้ก็มีมูลนิธิ
และโรงเรียนด้วยเช่นกัน
  
35:54   
 
35:58  เราหวังว่าโรงเรียน
จะมุ่งไปในทิศทางที่ถูกต้อง
  
36:03  นอกจากนั้น มูลนิธิยังรับผิดชอบ
ในการเก็บรวบรวมงานพูดเหล่านี้
  
36:08  นำมาทำเป็นเทปเสียง
และเป็นงานพิมพ์ เป็นต้น
  
36:11  ที่อเมริกาและแคนาดา
ก็ทำงานทำนองเดียวกัน
  
36:15  งานเหล่านี้ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง
กับจิตวิญญาณ ใช่ไหม
  
36:19  มูลนิธิต่าง ๆ
มีบทบาทเพียงแค่ทำงาน
  
36:22   
 
36:26  จำเป็นต้องมีหน่วยงานเหล่านี้
เพราะกฎหมายเรียกร้อง ว่าต้องมี
  
36:29   
 
36:32  และเพื่อพิมพ์หนังสือ
ซึ่งคุณก็รู้เรื่องเหล่านั้นดี
  
36:35  และเพื่อดูแลรักษาคำสอน
ให้บริสุทธิ์ดุจเดิม
  
36:39  มูลนิธิเหล่านี้
มีหน้าที่เพียงแค่นั้นเอง ใช่ไหม
  
36:43  ไม่ได้มีหน้าที่อย่างอื่น ๆ เลย
 
36:46  มันไม่ใช่องค์กรทางจิตวิญญาณ
ที่คุณจะเข้าร่วม
  
36:51  เพื่อให้เข้าถึงนิพพาน
หรือสวรรค์ หรืออะไรก็ตาม
  
36:54  มันเรียบง่าย ตรงไปตรงมา ชัดเจนยิ่ง
เข้าใจไหมครับ
  
37:00  ฉะนั้นคราวต่อไป โปรดอย่าถามอีกเลย
ว่าทำไมคุณจึงก่อตั้งองค์กร
  
37:03   
 
37:06  มันเป็นเรื่องง่าย ๆ ตรงไปตรงมา
เพราะมีโรงเรียน
  
37:12  มีการจัดพิมพ์หนังสือจัดทำเทป
จัดให้มีการพูด ในที่ที่ผมไปเยือน
  
37:14   
 
37:18  บางแห่งก็ดูแล
อำนวยความสะดวกให้ผู้พูด
  
37:20   
 
37:24  เพราะผู้พูดไม่มีเงินทอง
 
37:27  เมื่อผู้พูดอยู่ในอินเดีย
พวกเขาจึงดูแล
  
37:30  ที่นี่ พวกเขาก็ดูแล
 
37:32  เมื่อผู้พูดอยู่ที่อเมริกา
พวกเขาก็ทำเหมือนกัน
  
37:36  จบแค่นั้น พอแล้วยังครับ
 
37:38  เรื่องนั้นจบแล้ว
ไม่ใช่หรือครับ
  
37:40  เรามาพูดกันถึงคำถามต่อไปดีไหม
 
38:02  กามรมณ์กับชีวิตทางศาสนา
ไปด้วยกันได้หรือเปล่า
  
38:06   
 
38:09  ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์
มีบทบาทอะไรบ้าง
  
38:12  ต่อการพยายามแสวงหาทางจิตวิญญาณ
 
38:16  กามรมณ์และชีวิตทางศาสนา
ไปด้วยกันได้ไหม
  
38:20   
 
38:24  สัมพันธภาพของมนุษย์มีบทบาทอะไร
ในความบากบั่นทางจิตวิญญาณ
  
38:27   
 
38:52  ประการแรกเลย
 
38:55  เพราะอะไรมนุษย์ทั่วทั้งโลก
 
38:58   
 
39:02  จึงทำให้กามรมณ์ เป็นสิ่งสำคัญ
อย่างยิ่งในชีวิตของพวกเขา
  
39:08  คุณเข้าใจคำถามของผมนะครับ
 
39:10  เพราะอะไรครับ
 
39:18  ทุกวันนี้ประเทศแถบตะวันตก
มีทัศนะที่ค่อนข้างปล่อยอิสระ
  
39:23  โดยยอมให้เด็กชายหรือหญิง
อายุ 12-13 มีเพศสัมพันธ์กันได้
  
39:28   
 
39:36  เราจึงถามว่า
เพราะเหตุใดที่มนุษย์
  
39:41  ในทุก ๆ กิจ ทุก ๅ บทบาท
โดยตลอดชีวิตของเขา
  
39:44  จึงทำให้เรื่องเพศ
มีความสำคัญมหาศาลเช่นนั้น
  
39:53  เอาล่ะครับ ตอบคำถามนี้ได้เลย
 
39:55  ถามคำถามนี้
 
39:56  เรามีส่วนร่วมกันในคำถามนี้
ใช่ไหมครับ
  
39:59  คุณไม่เพียงฟัง ดั่งฟังเทพพยากรณ์
ณ มหาวิหารเดลฟี
  
40:03  แต่ทว่า เรากำลังสืบค้นด้วยกัน
 
40:06  มันเป็นชีวิตของคุณ
ที่เรากำลังมองดูอยู่
  
40:09   
 
40:14  ยังมีคุรุพวกนั้นอีก
 
40:22  และมีระบบปรัชญา
ที่เรียกว่าตันตระ
  
40:27  ส่วนหนึ่งของตันตระ
มีพื้นฐานอยู่ที่กามรมณ์
  
40:31  โดยคิดว่าอาศัยกามรมณ์
คุณสามารถจะเข้าถึงพระเจ้า
  
40:36  พระเจ้านั้นจะเป็นอะไรก็ตาม
 
40:39  คำสอนนี้เป็นที่นิยมกันมาก
 
40:48  ยังมีอีกพวก
อย่างเช่นพวกพระ
  
40:52  พวกสันยาสีชาวอินเดีย
และพระชาวพุทธ
  
40:57  พวกเขาปฏิเสธกามรมณ์
 
41:02  เพราะพวกเขาต่างยึดมั่นว่า
 
41:07  กามรมณ์ทำให้สูญเสียพลังงาน
 
41:17  แต่การจะเข้าถึง
และได้รับใช้พระเจ้า
  
41:20  คุณต้องเข้าหา
ด้วยพลังงานที่เต็มเปี่ยม
  
41:23  ฉะนั้นพวกเขาจึงปฎิเสธ กดข่ม
และเร่าร้อนอยู่ในตนเอง
  
41:27   
 
41:31  เพราะความต้องการทั้งปวง
แต่กลับกดข่มมันเอาไว้ ควบคุมมันไว้
  
41:33   
 
41:36  ดังนั้น จึงมีทั้งการยินยอมเห็นควร
และสภาพที่เรียกว่าการกดข่มทางศาสนา
  
41:39   
 
41:44  ยังมีพวกที่อยู่ระหว่างทั้งสองอย่าง
คือพวกที่สนุกกับทุกสิ่งทุกอย่าง
  
41:47  พวกที่เท้าข้างหนี่งอยู่ฝั่งนี้
อีกข้างหนึ่งอยู่ฝั่งโน้น
  
41:54  พวกเขาสามารถพูดคุยได้
เกี่ยวกับทั้งสองอย่าง
  
41:58  พวกเขาพยายาม
ที่จะประสานทั้งสองอย่างให้ได้
  
42:02  แล้วค้นหาพระเจ้า
หรือค้นหาอะไรก็ตาม ที่คุณต้องการ
  
42:07  ในที่สุดคุณอาจจะค้นพบ
ว่าส่วนใหญ่เป็นสิ่งเหลวไหลไร้สาระ
  
42:11  ดังนั้นเราจึงถามว่า
ทำไมผู้คนชายและหญิง
  
42:13   
 
42:18  จึงทำให้เรื่องทางเพศ
สำคัญหนักหนา
  
42:26  ใช่หรือเปล่า
 
42:29  ทำไมคุณจึง
ไม่ให้ความสำคัญเท่าเทียมกัน
  
42:34  ต่อความรัก
คุณเข้าใจไหม
  
42:37   
 
42:41  ต่อความเมตตาการุณย์
 
42:44  ต่อการไม่ฆ่า
 
42:47  ทำไมคุณจึงให้คุณค่าอย่างใหญ่หลวง
ต่อกามรมณ์เท่านั้น
  
42:52  คุณเข้าใจหรือเปล่า
ว่าผมกำลังพูดถึงอะไร
  
42:54  สงครามของคุณ การคุกคามอันน่ากลัว
การแบ่งแยกเป็นประเทศชาติของคุณ
  
42:58   
 
43:02  สังคมที่เรามีชีวิตอยู่
ล้วนผิดทำนองคลองธรรมทั้งสิ้น
  
43:09  ทำไมเราจึงไม่ให้ความสำคัญ
เท่าเทียมกันกับทั้งหมดนั้น
  
43:14  ไม่ใช่ให้ความสำคัญ
ต่อกามรมณ์เท่านั้น
  
43:16  คุณตามทันไหมที่ผมถาม
เพราะอะไรครับ
  
43:25  มันเป็นเพราะว่ากามรมณ์เป็นความสุข
ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในชีวิตคุณใช่ไหม
  
43:28   
 
43:38  ส่วนอื่น ๆ ของชีวิตคุณนั้น
น่าเบื่อหน่าย
  
43:44  เพราะมีความทุกข์ทรมาน
จากความยากลำบาก การดิ้นรนต่อสู้
  
43:50  และการดำรงอยู่ด้วยความขัดแย้ง
ที่ไร้ความหมาย
  
43:54  ส่วนเพศรสอย่างน้อยที่สุด
ก็ให้ความรู้สึกสุขอย่างยิ่งยวด
  
43:59  ให้ความรู้สึกว่า
สุขสบายดีแก่คุณ
  
44:03  ให้ความรู้สึกถึงสิ่ง
ที่คุณเรียกว่าความสัมพันธ์
  
44:08  สิ่งที่คุณเรียกว่าความรักด้วย
ใช่ไหม
  
44:11   
 
44:13  นั่นใช่ไหมคือเหตุผล ว่าทำไมเราจึง
ได้คลั่งไคล้ในกามรมณ์กันหนักหน่วง
  
44:18  ค้นหาเถิดครับ
ตอบตัวคุณเอง
  
44:23  เพราะว่าในทิศทางอื่น ๆ
คุณไม่มีอิสระเลย
  
44:25   
 
44:29  เราต้องไปสำนักงาน
ตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น
  
44:33  เป็นที่ที่คุณถูกบีบบังคับ
ที่ที่คุณมีนายเหนือคุณ
  
44:36   
 
44:38  คุณก็รู้ ถึงสิ่งทั้งหลาย
ที่เกิดขึ้นในสำนักงาน ในโรงงาน
  
44:42   
 
44:44  หรือในงานอื่นๆ
ที่มีคนนั้นคนนี้ คอยบงการคุณ
  
44:52  จิตใจของเรา
จึงกลายเป็นกลไกอัตโนมัติ
  
44:58  คุณเข้าใจทั้งหมดนี้หรือเปล่า
 
45:04  เราทำซ้ำทำซาก ทำซ้ำ ๆ ซาก ๆ
 
45:11  เราหลงเข้าไปติดอยู่ในจารีต
ในร่องรางสภาพชีวิตที่น่าเบื่อหน่าย
  
45:17  การคิดของพวกเรา คือเราคิดว่า
 
45:20  ฉันเป็นคริสเตียน
ฉันเป็นพุทธ ฉันเป็นฮินดู
  
45:22  ฉันเป็นคาทอลิก
ฉันบูชาพระสันตะปาปา
  
45:27  สิ่งทั้งหมดถูกจัดไว้แล้ว
อย่างชัดเจน และคุณก็ทำตามนั้น
  
45:33  หรือไม่คุณก็ปฏิเสธ
ไม่ยอมรับทั้งหมดนั้น
  
45:36  แล้วสร้างกิจวัตรของคุณขึ้นมาเอง
 
45:41  จิตใจเราจึงกลายเป็นทาส
 
45:45  ติดพันอยู่ในสารพัดแบบแผน
ของการดำรงอยู่
  
45:50  มันจึงกลายเป็นกลไกอัตโนมัติ
 
45:56  กามรมณ์อาจจะให้ความสุขเพลิดเพลิน
 
46:01  แต่มันก็จะค่อย ๆ
กลายเป็นกลไกที่ไม่มีชีวิต
  
46:07  เราจึงถามว่า
 
46:10  ถ้าคุณต้องการจะพิจารณาเรื่องนี้
ให้ลึกอย่างยิ่ง เราถามว่า:
  
46:13   
 
46:14  ความรัก คือกามรมณ์หรือ
 
46:21  ถามค้นต่อไปนะครับ
 
46:25  ความรัก คือความสุขเพลิดเพลินหรือ
 
46:34  ความรัก คือความอยากหรือ
 
46:38  ความรักคือความทรงจำถึงเหตุการณ์
ที่คุณเรียกว่าการร่วมเพศ
  
46:42  การร่วมรัก
รวมทั้งจินตนาการทั้งหมด
  
46:45  ภาพต่าง ๆ การครุ่นคิดถึงมัน
นั่นคือความรักหรือ
  
46:51  โปรดเห็นแก่พระเจ้าเถิด!
 
46:59  ความรักเป็นความทรงจำหรือ
 
47:08  ผู้ถามถามว่า
 
47:18  โอพระเจ้า ผมลืมไปแล้วว่า
คำถามอยู่ไหน อ้ออยู่นี่เอง
  
47:28  ผู้ถามถามว่า
 
47:32  ความสัมพันธ์ของมนุษย์มีบทบาทอะไร
ต่อการมุ่งมั่นแสวงหาทางจิตวิญญาณ
  
47:35   
 
47:38  คุณเห็นไหม
ว่ามันถูกลดระดับลงเป็นอะไร
  
47:42  ความสัมพันธ์ของมนุษย์ก็คือ
 
47:45  ความสุขเพลิดเพลิน
คือกามรมณ์ และความขัดแย้ง
  
47:51  คือการทะเลาะเบาะแว้ง
การแบ่งแยก
  
47:53  คุณไปตามทางของคุณ
ส่วนผมจะไปตามทางของผม
  
47:56  คุณเข้าใจไหม
นั่นคือความสัมพันธ์ของเรา
  
47:59  ความสัมพันธ์ที่เป็นอยู่จริง ๆ
ในชีวิตแต่ละวันของเรา
  
48:06  ความสัมพันธ์ของมนุษย์มีบทบาท
อะไรบ้าง ในความบากบั่นทางจิตวิญญาณ
  
48:09   
 
48:14  เห็นได้ชัด ๆ ว่า ความสัมพันธ์
อย่างที่เป็นอยู่นี้
  
48:16  ไม่มีบทบาทอะไรเลย
เห็นได้ง่าย ๆ
  
48:25  เราต่างก็อิจฉาริษยากัน
 
48:29  เราต่างต้องการครอบครองกัน
 
48:33  เราต่างต้องการครอบงำ
 
48:39  ดังนั้น จึงมีการต่อต้านกัน
 
48:44  เมื่อรู้สึกไม่พึงพอใจในเพศรส
คุณก็ไปหาคนอื่นอีก
  
48:51  ในความสัมพันธ์ทางเพศนั้น
มีความรู้สึกอ้างว้างและเดียวดาย
  
48:58  ใช่หรือเปล่าครับคุณ
ทั้งหมดนั้น
  
49:02  คุณแสวงหาความสุขเพลิดเพลิน
เพื่อตัวคุณเองอยู่เสมอ
  
49:08  นั่นคือความรักหรือ
 
49:15  คุณมองข้าม คุณละทิ้ง
สิ่งที่คุณเรียกว่าความรัก
  
49:18   
 
49:21  บางทีความรักเป็นสิ่ง
แสนมหัศจรรย์ที่สุด ถ้าคุณมีมัน
  
49:26  แต่คุณติดตรึงอยู่ในวังวน
ของความอยากของตนเอง
  
49:32   
 
49:35  ความสุขเพลิดเพลินของตนเอง
ใช่ไหม
  
49:38   
 
49:44  เรามีความต้องการอยู่เสมอ ไม่เพียง
ต้องการความพึงพอใจทางเพศเท่านั้น
  
49:46   
 
49:51  แต่ต้องการความพึงพอใจทุกๆอย่าง
ซึ่งอยู่บนพื้นฐานความสุขเพลิดเพลิน
  
49:55   
 
50:00  และนั่น เราเรียกว่าความรัก
 
50:04  และเพื่อความรักนั้น
เราจะฆ่ากันเองด้วย ใช่ไหม
  
50:10  เพื่อความรักประเทศชาติ
 
50:14  โอ้ ได้โปรดเถิด
 
50:19  เมื่อคุณไปถึงที่สุด
ของสิ่งเหล่านี้
  
50:22  คุณก็พูดว่าทำไมมนุษย์ชายหญิง
 
50:25  จึงให้ความสำคัญกับสิ่งเดียวนี้
อย่างประหลาดที่สุด
  
50:27   
 
50:38  ในบรรดานิตยสารทั้งหลาย
คุณก็รู้ดีว่ามีอะไรอยู่บ้าง
  
50:42  เพราะอะไรหรือครับ
 
50:45  มันเป็นเพราะมนุษย์ทั้งชายหญิง
ได้สูญเสียสมรรถนะในการสร้างสรรค์
  
50:52  ไม่ใช่สมรรถนะทางเพศนะครับ
คุณเข้าใจไหม
  
50:55  แต่สมรรถนะในการสร้างสรรค์
 
50:58  คือความสามารถที่จะเห็น
ที่จะเป็นแสงสว่าง แก่ตัวเราเอง
  
51:09  ไม่ตามใครเลย
 
51:14  ไม่บูชาภาพลักษณ์ใด ๆ
มายาหรือความเชื่อใด ๆ
  
51:21  เมื่อคุณทิ้งสิ่งทั้งหมดนั้นไป
 
51:25  และคุณได้เข้าใจ ถึงความอยาก
อันเล็กน้อยคับแคบของตนเอง
  
51:31  ซึ่งคือการเรียกร้อง
ต้องการความพึงพอใจทางเพศของคุณ
  
51:34  เมื่อคุณเห็นทั้งหมดนั้น
 
51:37  มีการเห็นแจ้งเข้าไป
ในเรื่องทั้งปวง
  
51:41  จากนั้น
ภาวะสร้างสรรค์บังเกิดขึ้น
  
51:45  มันไม่ได้หมายถึงการวาดภาพ
 
51:49  หรือการเขียนบทกลอน
 
51:55  แต่เป็นความรู้สึกสดใหม่อยู่เสมอ
คุณเข้าใจนะ
  
52:01  มีจิตใจที่ใหม่สด
เยาว์วัย
  
52:03  บริสุทธิ์ไร้เดียงสาตลอดเวลา
ไม่หมองมัว
  
52:08  ไม่แบกหนักด้วยความทรงจำสารพัด
ความไม่พึงพอใจ
  
52:12  ความกลัวและความกระวนกระวาย
คุณรู้ไหม
  
52:15  เมื่อสภาพเช่นนี้หายไป
จากคุณจนหมดสิ้น
  
52:17  จะมีจิตใจชนิดที่แตกต่างออกไป
อย่างสิ้นเชิงเกิดขึ้น
  
52:22  จากนั้นกามรมณ์จะมีที่ทาง
มีบทบาทของมันเอง
  
52:29  แต่เมื่อกามรมณ์กลายเป็นหนทาง
ในความพยายามทางศาสนา
  
52:35  คุณเข้าใจไหมครับ
ว่าผมกำลังพูดถึงอะไร
  
52:40  ถ้าเป็นอย่างนั้น
เราก็ติดจมอยู่ในปลักจนหมดสิ้น
  
52:48  เห็นได้ชัดทีเดียวว่า
เราไม่มีคุณสมบัติที่ช่างสงสัย
  
52:52   
 
52:55   
 
53:00  คุณเข้าใจหรือเปล่า
 
53:02  สงสัยเกี่ยวกับการเรียกร้อง
ต้องการของตัวเราเอง
  
53:10  ที่จะตั้งคำถาม กังขาในเหล่าคุรุ
ที่มากมายเหลือคณา
  
53:19  และการสงสัยก็กลายเป็น
สิ่งที่ค่อนข้างอันตรายได้ด้วย
  
53:23  เพราะถ้าหากคุณ
ไม่ประคองมันเอาไว้
  
53:27  คุณก็จะสงสัยไปทุกสิ่งทุกอย่าง
แล้วมันก็ไม่จบสิ้น
  
53:31  ความสงสัยเสมือนสุนัข
ที่มีสายหนังผูกรั้งเอาไว้
  
53:35  คุณต้องปล่อยมันไปบ้าง
เป็นครั้งคราวหรือบ่อย ๆ
  
53:39  เพื่อที่สุนัขจะสนุกสนาน
ได้วิ่งไปรอบ ๆ
  
53:45  ในทำนองเดียวกัน การสงสัย
ก็ต้องมีการยั้ง รั้งไว้บ้าง
  
53:48  แล้วปล่อยอิสระ
ปลดสายรั้งออกไปบ้าง
  
53:53  ดังนั้นจิตใจก็
- คุณทราบนะ
  
53:56  จิตใจก็คือ หัวใจของคุณ สมองของคุณ
อารมณ์ ความรู้สึกของคุณ
  
54:00  ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเคลื่อนไหว
ทำงานอยู่เสมอ ไม่เพียงถูกบงการ
  
54:03   
 
54:05  ไปในทิศทางเดียว
ซึ่งคือทางเพศ เพศ เพศ
  
54:26  ความคิดสามารถรู้ตัวของมันเอง
ในขณะที่มันเกิดขึ้นได้ไหม
  
54:32  หรือว่าความรู้ตัว
มาตามหลังความคิด
  
54:38  จิตสำนึกสามารถจะรู้ตัว
ต่อเนื้อหาทั้งหมดของมัน ได้ไหม
  
54:45  ผมจะอ่านคำถามอีกครั้ง
 
54:47  ความคิดสามารถจะรู้ตัวของมันเอง
ในขณะที่มันกำลังเกิดขึ้นได้ไหม
  
54:54  หรือว่าความรู้ตัว
มาตามหลังความคิด
  
55:01  จิตสำนึกสามารถจะสำนึกรู้
ถึงเนื้อหาของมันทั้งหมดได้ไหม
  
55:17  พวกเราส่วนใหญ่รู้ตัว
หลังจากที่มันเกิดขึ้นผ่านไปแล้ว
  
55:25  ใช่ไหม
 
55:28  รู้ตัวหลังจากเหตุการณ์
หลังจากการกระทำ
  
55:35  แล้วเราก็บอกว่า
 
55:37  "ฉันควรจะทำ"
"ฉันไม่ควรทำ"
  
55:43  ผู้ถามถามว่า ความคิดจะรู้ตัวของ
มันเอง ในขณะที่มันอุบัติขึ้นได้ไหม
  
55:47   
 
55:52  ไม่ใช่รู้ทีหลัง ซึ่งค่อนข้างง่าย
ส่วนใหญ่เราก็ทำอย่างนั้นอยู่แล้ว
  
55:57   
 
56:00  แต่คำถามคือจะมีการรู้ตัวต่อความคิด
ในขณะที่มันผุดขึ้นได้ไหม
  
56:03   
 
56:10  คุณเข้าใจคำถามหรือเปล่า
 
56:13  อย่างน้อยที่สุด
ก็ให้คุณเข้าใจคำถามนะ
  
56:19  คุณสามารถจะรู้ตัว
- โปรดฟังนะครับ
  
56:24  รู้ตัวต่อความคิดของคุณได้ไหม
 
56:26  นั่นคือ ความคิดจะรู้ตัวของมันเอง
ในขณะที่มันเกิดขึ้นได้ไหม
  
56:31   
 
56:40  คุณเข้าใจคำถามนะ
 
56:43  นั่นคือ ชีวิตทั้งหมดของเรา
ขึ้นอยู่กับความคิด
  
56:48   
 
56:51   
 
56:56  ความคิดรู้จัก จำได้ถึงอารมณ์
 
57:00  ถึงความอ่อนไหวทางอารมณ์
ความรู้สึกเพ้อฝัน
  
57:05  จินตนาการ
ความนึกคิด และอื่น ๆ
  
57:07  ความคิดจำได้หมายรู้ทั้งหมดนั้น
ใช่ไหม
  
57:11  "โอ ผมเป็นคนที่มีอารมณ์ความรู้สึก
อย่างยิ่ง" และอื่น ๆ อีก
  
57:14   
 
57:17  และความคิดก็เป็นเครื่องมือ
สำหรับการกระทำทั้งปวงของเรา ใช่ไหม
  
57:23   
 
57:27   
 
57:29  ฉะนั้นจึงไม่มีความเป็นไปเอง
เป็นธรรมชาติ
  
57:34  ถ้าคุณมองเข้าไป
ในตัวคุณเองอย่างจริงจัง
  
57:37  ความเป็นธรรมชาติจะมีอยู่
เมื่อมีอิสรภาพสิ้นเชิงสมบูรณ์
  
57:46  ในทางจิตใจเท่านั้น
 
57:51  จิตของคุณจะรู้ตัวของมันเอง
ในขณะที่ความคิดเกิดขึ้นได้ไหม
  
57:54   
 
58:03  นั่นคือ จะมีการรู้ตัวไหม
 
58:07  เมื่อคุณเริ่มที่จะโกรธ
 
58:13  คุณตามทั้งหมดนี้ทันไหม
 
58:16  มีความรู้ตัว
ในขณะที่ความอิจฉาเกิดขึ้นได้ไหม
  
58:24  จะรู้ตัวต่อความโลภ
ในขณะที่มันอุบัตขึ้นได้ไหม
  
58:32  รู้ตัวต่อสิ่งนั้น
 
58:35  จะรู้ตัวได้ไหม
 
58:39  หรือคุณรู้ตัวเมื่อ
คุณได้อิจฉาไปแล้ว
  
58:43  หรือคุณได้โลภ
คุณได้โกรธไปแล้ว
  
58:47  ถ้าอย่างนั้น มันก็ค่อนข้างง่าย
พวกเราส่วนใหญ่ก็ทำเช่นนั้น
  
58:50  แต่การรู้ตัว
อย่างใส่ใจยิ่งยวดนั้น
  
58:57  คุณจะได้เห็นด้วยตัวคุณเอง
เมื่อความโกรธกำลังคืบคลานเข้ามา
  
59:01  เห็นการหลั่งของอดรีนาลีน
และกระบวนการทั้งหมด
  
59:04  เห็นความเคลื่อนไหวทั้งหมด
ของความโกรธ
  
59:08  คุณสามารถที่จะเห็นความโลภ
ในขณะที่กำลังเกิดขึ้น
  
59:11  เมื่อคุณเห็นอะไรบางอย่าง
ที่คุณอยากได้ คุณก็จะมีปฏิกิริยา
  
59:17  ให้รู้ตัวถึงสภาพนั้น
 
59:19  แน่นอนเราสามารถที่จะรู้ตัว
ในขณะที่มันกำลังเกิดขึ้น
  
59:23  จากนี้ คำถามจะยากขึ้น
จะลึกลงไปอีกหน่อย
  
59:28  ความคิดจะสามารถ
- โปรดฟังนะครับ
  
59:32  คุณสามารถรู้ตัวต่อความโกรธ
ในขณะที่เกิดขึ้นซึ่งค่อนข้างง่าย
  
59:37  แต่ตัวความคิด จะรู้ตัวของมันเอง
ได้ไหม
  
59:45   
 
59:47  คุณเข้าใจหรือเปล่า
ว่าผมหมายถึงอะไร
  
59:53  ขณะนี้คุณกำลังคิดอยู่
ไม่ใช่หรือ
  
59:56  หรือว่าพวกคุณใจลอยกันทุกคน
 
1:00:02  ตอนนี้คุณกำลังคิดอยู่ ไม่ใช่หรือ
 
1:00:05  เอาละ ในขณะที่คุณกำลังคิดอยู่
 
1:00:08  ลองค้นหาดูว่า การคิดนั้น
สามารถรู้ตัวของมันเองได้ไหม
  
1:00:12  ไม่ใช่คุณรู้ตัวต่อการคิด
คุณเข้าใจปัญหาไหม
  
1:00:17   
 
1:00:18  ผมสงสัยว่าคุณเห็นตรงนี้หรือเปล่า
 
1:00:23  มันเป็นเรื่องสนุกจริง ๆ
ถ้าคุณลองค้นหาดู
  
1:00:30  ไม่เพียงสนุกเท่านั้น
มันเป็นเรื่องสำคัญจริง ๆ
  
1:00:32  เพราะคุณสามารถจะไปได้ลึก
อย่างยิ่งจริง ๆ ในเรื่องทั้งหมดนี้
  
1:00:37  อย่างเช่น คุณกำลังคิด
เกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง
  
1:00:41   
 
1:00:44  เกี่ยวกับเสื้อผ้าของคุณ
คุณจะดูดีไหม คนอื่นจะว่ายังไง
  
1:00:48  คุณจะเผชิญกับอะไรบ้าง
เรื่องนั้น เรื่องนี้
  
1:00:50  การคิดมีอยู่
 
1:00:55  ทีนี้ลองยกมา 1 ความคิด
 
1:01:02  แล้วดูว่าความคิดนั้น
จะรู้ตัวมันเองได้ไหม
  
1:01:08  ใช่ครับ การทำเช่นนั้น
ต้องมีความใส่ใจอย่างมหาศาล
  
1:01:13  ซึ่งพวกคุณไม่คุ้นเคยเลย
 
1:01:17  คุณกำลังคิดถึงเสื้อผ้าชุดที่คุณ
มีอยู่แล้ว หรือที่คุณกำลังจะซื้อ
  
1:01:19   
 
1:01:24  ความคิดที่ผุดขึ้นมานั้น
 
1:01:27  ความคิดนั้นจะพูดได้ไหมว่า
"ครับ ผมตื่นอยู่" คุณเข้าใจไหม
  
1:01:32  ผมเห็นตัวผมเอง
 
1:01:37  ความคิดเห็นตัวมันเอง
ไม่ใช่คุณสังเกตเห็นความคิด
  
1:01:42  เพราะคุณเองเป็นความคิดเช่นกัน
 
1:01:46  คุณเข้าใจหรือเปล่า
 
1:01:48  ไม่ใช่คุณที่เป็นผู้รู้ตัว
ในขณะที่ความคิดเกิดขึ้น
  
1:01:50   
 
1:01:54  แต่ตัวความคิด รู้ตัวของมันเอง
ในขณะที่มันกำลังเกิดขึ้น
  
1:01:57   
 
1:01:59  ผมสงสัยว่าคุณเห็นตรงนี้ไหม
ไม่เห็นหรือ
  
1:02:04  เอาล่ะ นั่นเป็นคำถามหนึ่ง
 
1:02:06  อีกคำถามก็คือ
 
1:02:09  จิตสำนึกสามารถรู้ตัว
ถึงเนื้อหาทั้งหมดของมัน ได้ไหม
  
1:02:12   
 
1:02:17  คุณเข้าใจหรือเปล่า
 
1:02:18  จิตสำนึกนั้น
 
1:02:21  ถ้าจะถามให้ลัด ให้สั้นเข้า
 
1:02:25  มันคือเนื้อหาของตัวมันเอง
ไม่ใช่หรือ
  
1:02:28  เนื้อหาคือความเชื่อของคุณ
ชื่อของคุณ ประเทศชาติของคุณ
  
1:02:31  อคติของคุณ ความคิดเห็นของคุณ
ข้อสรุปของคุณ
  
1:02:35  ความหวัง ความสิ้นหวังของคุณ
ความสลดหดหู่ของคุณ
  
1:02:39  การคำนึงถึงแต่ตัวคุณเอง
คุณทั้งเชื่อและไม่เชื่อ
  
1:02:42  คุณเชื่อในการเป็นคนอังกฤษ
และการไม่เป็นคนอังกฤษ
  
1:02:45  เชื่อว่ามีพระเจ้า
หรือเชื่อว่าไม่มีพระเจ้า
  
1:02:47  ทั้งปวงนั้น ทั้งความวิตกกังวล
ความกลัวของคุณ
  
1:02:50  ทั้งหมดนั้น คือเนื้อหาของคุณ
ใช่ไหม
  
1:02:54  การเรียกร้องต้องการทางเพศของคุณ
แรงผลัก แรงกระตุ้นของคุณ
  
1:02:57  ความสุขเพลิดเพลินของคุณ
ทั้งหมดนั้นคือจิตสำนึกของคุณ
  
1:03:02  จิตสำนึกนั้นสามารถที่จะ
- โปรดฟังนะครับ
  
1:03:07  จะรู้ตัวต่อเนื้อหาของมันเอง
 
1:03:11  อย่างเป็นทั้งหมดได้ไหม
ไม่ใช่เพียงส่วนหนึ่ง
  
1:03:14  คุณจับสาระสำคัญได้ไหม
 
1:03:16  คุณจับไม่ได้หรือ
 
1:03:21  เพราะคุณไม่ลงมือทำ
 
1:03:23  นี่คือสมาธิที่แท้จริง
คุณเข้าใจไหม
  
1:03:27  ไม่ใช่เรื่องเหลวไหลไร้สาระ
ที่ดำเนินอยู่
  
1:03:35  เพราะการจะเห็นทั้งหมดของชีวิตคุณ
 
1:03:41  ไม่เพียงเห็น
ความต้องการทางเพศของคุณ
  
1:03:45  เพราะเรื่องเพศ
ไม่ใช่เป็นเรื่องเดียวของชีวิตคุณ
  
1:03:48  ยังมีความกลัว ความตาย
ความหวั่นวิตก
  
1:03:52  ความรู้สึกผิด ความสิ้นหวัง
ความเศร้าสลด ความทุกข์โศก
  
1:03:56  ทั้งหมดนั้นคือองค์ประกอบ
ของชีวิตคุณ
  
1:04:01  ทั้งหมดนั้นคือจิตสำนึกของคุณ
 
1:04:06  ทีนี้ ผู้ถามถามว่า
 
1:04:08  จิตสำนึกของคุณ สามารถรู้ตัว
ถึงเนื้อหาทั้งหมดของมัน ได้ไหม
  
1:04:10   
 
1:04:19  นั่นหมายถึง คุณสามารถที่จะสังเกต
- ไม่ใช่คุณสังเกต
  
1:04:23  แต่มีการสังเกต
ถึงสิ่งทั้งหมดนั้นไหม
  
1:04:33  เราต้องพิจารณาในเรื่องนี้
ให้ลึกยิ่งจริง ๆ
  
1:04:36  เราไม่มีเวลา แต่เรา
จะเข้าไปในเรื่องนี้อย่างสั้น ๆ
  
1:04:40  จิตสำนึกนั้น
ประกอบกันขึ้นโดยกาลเวลา
  
1:04:45  ผ่านกาลเวลา
ผ่านสิ่งที่เราเรียกว่าวิวัฒนาการ
  
1:04:47   
 
1:04:52  คุณเกิดเหตุการณ์ เรื่องราว
อุบัติเหตุ มีความทรงจำ
  
1:04:58  เกี่ยวกับชาติพันธุ์ ประเทศชาติ
ครอบครัว และอื่น ๆ
  
1:05:02  ทั้งหมดนั้นเป็นขบวนการ
ที่มีอยู่ในจิตสำนึก
  
1:05:06   
 
1:05:10  ใช่ไหม
 
1:05:16  มันเป็นไปได้ไหม ที่จะเป็นอิสระ
จากเนื้อหานั้น อย่างสมบูรณ์
  
1:05:19  คุณเข้าใจหรือเปล่า
 
1:05:24  ไม่ คุณไม่ได้สนใจ
ในเรื่องทั้งหมดนี้
  
1:05:32  เรื่องนี้สำคัญยิ่งยวดจริง ๆ
เพราะว่า
  
1:05:36  มิฉะนั้น เราจะดำเนินบทบาท อยู่ใน
ขอบเขตของสิ่งที่รู้แล้วตลอดไป
  
1:05:45  สิ่งที่รู้แล้วคือสิ่งที่ไม่รู้
ด้วยเช่นกัน คือความโง่นั่นเอง
  
1:05:50  มันไม่เคยมีอิสรภาพเลย
 
1:05:54  นั่นคือ เมื่อคนคนหนึ่งมีชีวิต
อยู่ในอดีตเสมอ เช่นเดียวกับคุณ
  
1:06:02  จากอดีตนั้น
คุณอาจจะคิดล่วงออกไปในอนาคต
  
1:06:07  ในรูปของอุดมการณ์
ความหวัง และอื่น ๆ
  
1:06:09  แต่มันก็ยังคงเป็น
ขบวนการของอดีต
  
1:06:12  ที่ดัดแปลงตัวมันเองผ่านปัจจุบัน
 
1:06:17  ดังนั้น คนที่มีชีวิต
อยู่ในอดีตอย่างสิ้นเชิง
  
1:06:22  หรืออยู่มากบ้างน้อยบ้าง
จิตใจเขาเป็นอย่างไร คุณเข้าใจไหม
  
1:06:26  เขาอาจจะมีเทคนิค วิธีการใหม่ ๆ
 
1:06:30  มีโอกาสใหม่ ๆ
ที่จะเรียนรู้ทักษะรูปแบบอื่น ๆ
  
1:06:34  แต่ที่จริงแล้ว
ในตัวเขา
  
1:06:38  จิตสำนึกของเขา
คือขบวนการของอดีต
  
1:06:44  ใช่ไหม
 
1:06:48  ฉะนั้น ชายหรือหญิง
ผู้ดำเนินชีวิตอยู่ในอดีต
  
1:06:54  อะไรเกิดขึ้นกับสมองของเขา
จิตใจเขา
  
1:07:00  มันไม่อาจที่จะเป็นอิสระได้เลย
 
1:07:06  ผู้ที่ถามค้นเข้าไป
ในเรื่องนี้เป็นสำคัญ
  
1:07:13  เขาต้องค้นหาว่า
จิตสำนึกทั้งหมดนี้
  
1:07:17  พร้อมทั้งเนื้อหาทั้งปวง
เป็นไปได้ไหมที่จะเห็นมันทันที
  
1:07:24  ซึ่งหมายถึง
มีการเห็นแจ้งเข้าไปในนั้น
  
1:07:31  ผมไม่ทราบว่า
คุณเคยพิจารณาบ้างไหม
  
1:07:35  ที่จะมองอะไรก็ตาม
มองอย่างทั้งหมด
  
1:07:40  มองดูภรรยา
หรือแฟนสาวของคุณ
  
1:07:43  หรือสามีคุณ
หรืออะไรก็ได้ อย่างทั้งหมด
  
1:07:47  ไม่มองเพียงใบหน้าของเธอ
นี่หรือนั่นของเธอ
  
1:07:50  แต่มองดูคุณสมบัติทั้งหมด
ของมนุษย์คนอื่น
  
1:07:58  คุณจะทำอย่างนั้นได้ ก็ต่อเมื่อ
ไม่มี "คุณ" เท่านั้น
  
1:08:02  คุณเข้าใจนะครับ
 
1:08:05  เมื่อคุณไม่รวมศูนย์อยู่ที่นี่
ที่ตัวฉัน
  
1:08:09  ความเป็น "ฉัน" นั้น เล็กน้อยมาก
คับแคบมาก
  
1:08:12  เพราะความเป็น "ฉัน"
ก่อตัวสั่งสมขึ้นจากทั้งปวงนั้น
  
1:08:20  เมื่อคุณเริ่มจะถาม
ค้นเข้าไปในนั้น
  
1:08:27  ว่าเป็นไปได้หรือไม่
ที่จะเห็นเนื้อหาทั้งหมด
  
1:08:29   
 
1:08:32  เห็นขบวนการเคลื่อนไหวทั้งหมด
ของจิตสำนึก
  
1:08:35  ซึ่งหมายถึงเห็นโครงสร้างทั้งหมด
ของความเป็น "ฉัน"
  
1:08:46  การเห็น ต้องมีการสังเกตบริสุทธิ์
คุณเข้าใจนะ
  
1:08:50  ไม่มีการชี้นำ
ไม่มีอคติของคุณ
  
1:08:53  ไม่มีทั้งความชอบและไม่ชอบ
และอื่น ๆ ทั้งหมด
  
1:08:55  ทว่าเพียงแค่สังเกตล้วน ๆ
ถึงโครงสร้างอันไพศาลซับซ้อนยิ่ง
  
1:08:58   
 
1:09:02  ก็เพราะความยุ่งยากซับซ้อนของมัน
คุณจึงต้องเข้าหามันอย่างง่าย ๆ มาก
  
1:09:05   
 
1:09:10  ใช่ไหม
 
1:09:20  ผมต่อไปอีกคำถามหนึ่งเลยได้ไหม
 
1:09:24  ผมหวังว่าคุณคงไม่
 
1:09:37  ผมได้ลองทำสมาธิมาแล้วทุกแบบ
ทั้งการอดอาหาร
  
1:09:42  การใช้ชีวิตสันโดษ
โดยโดดเดี่ยวอย่างสมัครใจ
  
1:09:45   
 
1:09:51   
 
1:09:53  แต่มันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย
 
1:09:57  จะมีอะไรสักอย่าง
หรือมีคุณภาวะสักอย่างไหม
  
1:10:01  ที่จะยุติการแสวงหา
และความสับสนของผมได้
  
1:10:05  ถ้าผมมีสิ่งนั้น
ผมจะทำอะไรได้บ้าง
  
1:10:12  ผมขออ่านคำถามอีกครั้งนะครับ
 
1:10:15  ผมพยายามทำสมาธิมาแล้ว ทุกรูปแบบ
 
1:10:20  ทั้งการอดอาหาร
การมีชีวิตปลีกวิเวกอยู่โดดเดี่ยว
  
1:10:22   
 
1:10:29  แต่มันก็ไม่มีอะไรบังเกิดขึ้น
 
1:10:32  จะมีสักอย่างไหม
หรือสักสภาวะไหม
  
1:10:37  ที่จะจบสิ้นการแสวงหาของผม
และความสับสนของผม
  
1:10:40   
 
1:10:46  ถ้าสิ่งนั้นมีอยู่
ผมจะทำอะไรได้บ้าง
  
1:10:51  คุณเข้าใจคำถามนี้หรือเปล่า
 
1:10:53  พวกคุณอยู่ในสภาพนั้นไหม
 
1:11:00  คุณเข้าใจคำถามไหม
 
1:11:01  นั่นคือ
มีคนคนหนึ่งไปประเทศญี่ปุ่น
  
1:11:07  ไปทำสมาธิแบบพุทธ
สมาธิแบบเซ็น
  
1:11:09  สมาธิรูปแบบต่าง ๆ ของธิเบต
แบบฮินดู คริสเตียน
  
1:11:12   
 
1:11:16  และทำสมาธิมากมายแบบนับไม่ถ้วน
ที่มนุษย์ได้คิดประดิษฐ์ขึ้น
  
1:11:19   
 
1:11:25   
 
1:11:27  "ผมผ่านทั้งหมดนั้นมาแล้ว"
 
1:11:32  "ผมได้ทำโยคะประเภทต่าง ๆ
ได้อดอาหารมาแล้ว
  
1:11:38   
 
1:11:40  "ใช้ชีวิตสันโดษ
เพื่อพยายามค้นหาว่า สัจจะคืออะไร"
  
1:11:44   
 
1:11:48  "เมื่อทำทั้งหมดนั้นแล้ว
ท้ายที่สุด ผมไม่ได้ค้นพบอะไรเลย"
  
1:11:51   
 
1:11:54  คุณเข้าใจไหม
 
1:11:57  พวกคุณไม่เข้าใจหรอก
 
1:11:59  มันไม่เป็นเรื่องเศร้าสลด
สำหรับคุณหรือ มันเศร้าไหม
  
1:12:08  มีอะไรสักอย่างไหม
 
1:12:11  คุณสมบัติสักอย่าง ที่จะจบสิ้น
การแสวงหาและความสับสนของผมได้
  
1:12:13   
 
1:12:19  ถ้ามีสิ่งนั้น
บอกผมด้วยว่าต้องทำอย่างไรบ้าง
  
1:12:34  คุณเข้าใจนัยทั้งหมด
ของคำถามนี้หรือเปล่า
  
1:12:43  ครั้งหนึ่งผมได้พบชายคนหนึ่ง
 
1:12:46  เขาแก่มากแล้ว
ส่วนผมยังค่อนข้างหนุ่ม
  
1:12:49   
 
1:12:51  ผมของเขาสีเทา
เขาใกล้ตาย
  
1:12:57  เขาได้ฟังการพูดครั้งหนึ่ง
แล้วมาหาผมหลังจากนั้น
  
1:13:03  เขาบอกว่า
"ผมใช้ชีวิต 25 ปี ของผม"
  
1:13:09  "ด้วยการอยู่สันโดษโดดเดี่ยว
อยู่ในสมาธิ
  
1:13:11  "ผมเคยแต่งงานมาแล้วและอื่น ๆ
แต่ผมได้ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง"
  
1:13:15  "และเป็นเวลา 25 ปีมาแล้ว
ที่ผมทำสมาธิ"
  
1:13:20  "แต่เมื่อผมได้มาฟังคุณ
ตอนนี้ผมเห็นว่า"
  
1:13:24  "ผมมีชีวิตอยู่ในมายา ในสิ่งลวง"
คุณเข้าใจไหม
  
1:13:27   
 
1:13:29  ตั้ง 25 ปี
แต่พวกคุณไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง
  
1:13:37  และการที่บอกตนเองว่า
 
1:13:39  "ผมใช้ชีวิตอยู่ในสิ่งลวง
ผมหลอกตนเองมานาน"
  
1:13:43  คุณเข้าใจนะ
 
1:13:44  การพูดอย่างนั้น
เมื่อเวลาผ่านไป 25 ปี
  
1:13:51  มันหมายถึงชีวิตที่สูญเปล่า
 
1:13:55  ซึ่งอย่างไรเสีย
พวกคุณก็ใช้ชีวิตเช่นนั้นอยู่
  
1:13:58  แม้จะไม่ได้ทำสมาธิมา 25 ปี
 
1:14:08  และเขาถามว่า
มีอะไรสักอย่างไหม
  
1:14:16  การกระทำหนึ่งอย่าง
 
1:14:20  หนึ่งก้าว
ที่จะสลายความขัดแย้งของผม
  
1:14:22   
 
1:14:26  ที่จะจบการแสวงหาของผม
 
1:14:30  คุณเข้าใจคำถามหรือไม่
 
1:14:32  คุณอยู่ในสภาพนั้นไหม
มีใครบ้างในพวกคุณ
  
1:14:37  นอกจากผู้ที่ถามคำถามนั้น
 
1:14:42  คุณเข้าใจไหม
คุณได้มาถึงที่สุดของขอบเขตของคุณ
  
1:14:50  คุณได้อ่านมา
ได้เดินทาง ได้ยิน
  
1:14:52  ได้ร้องไห้
ได้ทำสมาธิมา
  
1:14:56  คุณใฝ่หาปราถนา
คุณยอมสละ คุณเข้าใจไหม
  
1:15:03  บางทีพวกคุณยังไม่เคย
ทำสิ่งเล่านั้นเลย
  
1:15:10  ถ้าคุณได้ทำมาแล้วล่ะก็
 
1:15:12  สิ่งหนึ่งเดียวที่จะสลาย
ทั้งหมดนี้คืออะไร
  
1:15:25  ประการแรกสุด อย่างได้แสวงหา
 
1:15:33  คุณเข้าใจไหม ว่ามันหมายถึงอะไร
 
1:15:41  เพราะถ้าคุณแสวงหา
คุณจะค้นพบ
  
1:15:45  แต่สิ่งที่คุณค้นพบก็คือ
สิ่งที่คุณแสวงหาอยู่แล้ว
  
1:15:48  ผมสงสัยว่าคุณมองเห็น
เรื่องทั้งหมดนี้ไหม
  
1:15:53  สิ่งที่คุณจะพบ
ในการค้นหาของคุณ
  
1:15:56  คือสิ่งที่คุณคิดไว้แล้วล่วงหน้า
ว่าจะได้พบเห็น
  
1:16:02  คุณคือ นักบวชของคุณ
พระเจ้าของคุณ ศาสตราจารย์ของคุณ
  
1:16:05   
 
1:16:08  คุรุของคุณ ปรัชญาของคุณ
ประสบการณ์ของคุณ
  
1:16:10   
 
1:16:14  สิ่งที่คุณคิดสร้างออกไปในอนาคต
คุณจะพบสิ่งนั้น
  
1:16:18  ฉะนั้น คนที่ฉลาดมีปัญญา
จะไม่แสวงหา
  
1:16:28  และผู้ถามถามว่า
สิ่งหนึ่งนั้นคืออะไร
  
1:16:31   
 
1:16:49  เพื่อสิ่งหนึ่งเดียวนี้
 
1:16:53  จะต้องเป็นอิสระอย่างสิ้นเชิง
 
1:16:58  จากความผูกพัน
การยึดติดทั้งหมด
  
1:17:06  การยึดติดกับร่างกายของคุณ
การออกกำลังกายของคุณ โยคะของคุณ
  
1:17:11  ความคิดเห็นของคุณเอง การตัดสิน
วินิจฉัย บุคคลและความเชื่อต่าง ๆ
  
1:17:14   
 
1:17:17  ต้องมีอิสรภาพสมบูรณ์
จากการยึดติดทั้งปวง
  
1:17:25  ใช่ไหม
 
1:17:28  อย่าทำให้มันเป็นเรื่องเศร้าโศก
มันไม่ใช่เรื่องเศร้า
  
1:17:38  จะต้องไม่มีความกลัวอยู่เลย
 
1:17:42  เดี๋ยวก่อน
นี่ไม่ใช่สิ่งหนึ่งเดียวนั้น
  
1:17:48  แต่ต้องไม่มีความกลัว
ทางจิตใจโดยสิ้นเชิง
  
1:17:52  เพราะฉะนั้น
เมื่อมีความกลัวทางกายภาพ
  
1:17:55  คุณก็จัดการกับมันได้
คุณเข้าใจนะ ว่าผมกำลังพูดอะไร
  
1:18:00  เมื่อใครบางคนจู่โจมทำร้ายคุณ
คุณก็จัดการกับเรื่องนั้น
  
1:18:04  แต่ภายในจิตใจ
คุณไม่มีความกลัว
  
1:18:12  นั่นหมายถึง
ไม่มีเวลาที่เป็นวันพรุ่งนี้
  
1:18:16  โอ้ คุณไม่เข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้
 
1:18:26  เมื่อจิตใจได้เข้าใจธรรมชาติ
ของความทุกข์โศก
  
1:18:34  เพราะฉะนั้นจึงเป็นอิสระ
จากความทุกข์โศก
  
1:18:39  ซึ่งไม่ได้หมายถึง
คุณเฉยเมย ไม่แยแส
  
1:18:41  และอะไรต่าง ๆ เหล่านั้น
แต่มีอิสรภาพจากความทุกข์โศก
  
1:18:46  ใช่ไหม
 
1:18:48  สภาพเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งที่ชี้บอก
แต่ไม่ใช่สิ่งสุดท้าย
  
1:18:53  ถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่มีอยู่
สิ่งสุดท้ายก็เกิดขึ้นไม่ได้
  
1:18:55   
 
1:18:59  คุณเข้าใจจุดสำคัญไหม
 
1:19:02  ผมไม่คิดว่าคุณจะเข้าใจ
 
1:19:05  ดูเถิดครับคุณ
ชายหรือหญิง
  
1:19:10  ผู้ที่ใช้เวลาปีแล้วปีเล่า
 
1:19:14  ค้นหา แสวงหา
ถามหา เรียกร้องหา
  
1:19:16   
 
1:19:19  หรือทำสิ่งที่คิดว่า
เป็นการเสียสละ
  
1:19:24  สาบานตนถือพรหมจรรย์
ไม่ยุ่งเกี่ยวกับกามรมณ์
  
1:19:29  อยู่อย่างยากจน
และท้ายที่สุดเขาก็บอกว่า
  
1:19:31  "พระเจ้า ผมไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย
ในมือผมมีแต่เถ้าถ่าน"
  
1:19:33   
 
1:19:39  ถึงแม้พวกเขาคิดว่า
เขามีพระคริสต์ หรือพระเยซู
  
1:19:45  หรือพระพุทธเจ้าอยู่ในมือเขา
แต่มันก็ยังคงเป็นขี้เถ้า
  
1:19:48  ผมสงสัยว่าคุณเข้าใจทั้งหมดนี้ไหม
 
1:19:57  และคนอย่างนั้น
เขาถามว่า
  
1:20:01  อะไรคือบทบาท
คือการกระทำที่ถูกต้องในชีวิตผม
  
1:20:05  การกระทำที่ถูกต้อง ซึ่งถูกต้อง
ภายใต้ทุกสถานการณ์ ทุกกรณี
  
1:20:08   
 
1:20:14  การกระทำที่ไม่แปรเปลี่ยน ไม่เป็น
ครั้งคราวไม่เปลี่ยนไปตามวัฒนธรรม
  
1:20:17  ไม่เปลี่ยนไปตามประเทศชาติ
การศึกษา
  
1:20:20  เป็นการกระทำที่ถูกต้อง
แม่นยำ เป็นจริง
  
1:20:33  เมื่อทั้งหมดนี้กระจ่างชัด
 
1:20:37  ว่าจิตใจไม่ยึดติดกับตัวมันเอง
โดยสิ้นเชิง
  
1:20:44   
 
1:20:47  คุณเข้าใจนะครับ
จิตไม่ยึดติดกับร่างกายของมัน
  
1:20:52  ไม่มีความกลัว
และมีการจบสิ้นลงของความทุกข์โศก
  
1:20:55   
 
1:21:01  ถ้าหากประการเหล่านั้นชัดเจน
สิ่งเดียวนั้นคือความเมตตาการุณย์
  
1:21:05  คุณเข้าใจหรือเปล่า
 
1:21:14  คุณไม่เข้าใจ
 
1:21:18  จากทั้งหมดนี้
ความเมตตาการุณย์อุบัติขึ้น
  
1:21:28  ความเมตตาการุณย์
ไม่ใช่เถ้าถ่านในกำมือคุณ
  
1:21:35  มันไม่ใช่ความเมตตาการุณย์ ที่ทำการ
ปฏิรูปสังคม ที่ทำงานช่วยสังคม
  
1:21:42  ที่เป็นนักบุญ
ไม่ใช่ความเมตตาการุณย์ของนักบุญ
  
1:21:48  ไม่ใช่ความเมตตาของผู้คน
ที่ออกไปช่วยในสงคราม
  
1:21:51   
 
1:21:54  ช่วยเยียวยารักษาผู้คน
ไม่ใช่นายแพทย์ และอื่น ๆ
  
1:21:57  มันไม่ใช่ทั้งหมดนั้น
 
1:22:02  มันคือคำตอบเดียว
 
1:22:05  ที่เป็นจริง
ภายใต้ทุก ๆ สถานการณ์
  
1:22:07  จากนั้นจึงเป็นการกระทำ
ที่ถูกต้อง
  
1:22:13  เพราะความเมตตาการุณย์
เคียงคู่ไปกับสติปัญญา
  
1:22:19  ถ้าหากไม่สติปัญญา
อันเกิดจากความเมตตาการุณย์
  
1:22:21   
 
1:22:23  คุณเข้าใจนะ คุณก็จะหลงทาง
ติดอยู่ในเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สำคัญ
  
1:22:25   
 
1:22:31  แต่โลกยอมรับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ
ไม่สำคัญเหล่านั้น
  
1:22:34  ว่าเป็นการกระทำอันพิเศษสุด
ของความเมตตาการุณย์
  
1:22:39  แล้วพวกเขาก็กลายเป็นนักบุญ
เป็นวีรชน
  
1:22:42  พวกเขา
กลายเป็นที่รู้จัก ที่ยอมรับกัน
  
1:22:44  แบบโง่เขลาเบาปัญญา
สารพัดของคนโง่ ๆ
  
1:22:50  ดังนั้นจึงมีอยู่การกระทำเดียว
เท่านั้น
  
1:22:55  คุณสมบัติเดียวเท่านั้น
ที่เลิศล้ำประเสริฐสุด
  
1:22:59  และนั่นคือความเมตตาการุณย์
พร้อมด้วยสติปัญญาของมัน
  
1:23:02  จากสติปัญญานั้น
 
1:23:04  มีการกระทำที่ถูกต้อง
ภายใต้ทุก ๆ สถานการณ์
  
1:23:15  พอแค่นั้นนะครับ