Krishnamurti Subtitles home


BR79T1 - อะไรจะทำให้เราเปลี่ยนแปลง
การพูดต่อสาธารณชนครั้งที่ 1
ที่บร็อกวู้ดพาร์ค สหราชอาณาจักร วันที่
25 สิ



0:43  ผมขอภัยครับ
ดินฟ้าอากาศไม่ค่อยอำนวย
  
1:03  ผมมั่นใจว่า
 
1:05  พวกคุณหลายคนมาที่นี่
พร้อมกับปัญหาของคุณ
  
1:14  และคาดหวังว่าจากการสนทนานี้
ปัญหาทั้งหลายจะได้รับการแก้ไข
  
1:25  ทว่าปัญหาเหล่านั้น
จะแก้ไขได้ ก็ต่อเมื่อ
  
1:33  เรารู้สึกตัวต่อตนเอง
โดยปราศจากการเลือก
  
1:42  และมีคุณสมบัติแห่งศาสนา
ที่สมบูรณ์เป็นทั้งหมด
  
1:50  คำว่า "ศาสนา"
เราไม่ได้หมายถึงความเชื่อ
  
1:54  ไม่ได้หมายถึงลัทธิคัมภีร์
หรือพิธีกรรมต่างๆ
  
1:59  ไม่ได้หมายถึงเรื่องงมงาย
ที่เป็นเครือข่ายแพร่หลายไปทั่ว
  
2:05  แต่หมายถึงศาสนาในความหมาย
ที่ลุ่มลึกของคำนั้น
  
2:08  ซึ่งจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อ
 
2:11  มีการตระหนักรู้ถึงตนเอง
มีภาวะสมาธิ
  
2:19  และนั่นคือสิ่งที่เราจะสนทนากัน
 
2:22  ในระหว่างการสนทนา
ทั้งสี่ครั้งนี้
  
2:29  รวมทั้งการตอบคำถามสองครั้ง
ตามที่ได้ชี้แจงไปแล้ว
  
2:43  เราจะสืบค้นในเรื่องเหล่านี้
อย่างลึกซึ้ง
  
2:50  ไม่ใช่แค่เพียงการรู้ตัว
แบบสบายๆ เป็นธรรมชาติ
  
2:59  ต่อปัญหา
เฉพาะของตัวเราเองเท่านั้น
  
3:04  ปัญหาของเราก็สัมพันธ์กับ
ปัญหาทั้งปวงของโลก
  
3:09  เพราะว่ามนุษย์เรา
 
3:12  มีสภาพจิตใจ
ที่ค่อนข้างจะเหมือนๆ กันทั้งโลก
  
3:17  คุณอาจจะมีสีผิว
มีวัฒนธรรมที่ต่างกัน
  
3:22  มีความเคยชิน
และธรรมเนียมที่ต่างกัน
  
3:27  แต่แม้จะต่างกันอย่างนั้น
 
3:32  มนุษย์ทุกคน
ล้วนผ่านความยากลำเค็ญ
  
3:37  ผ่านความทุกข์โศก
มาอย่างแสนสาหัส
  
3:39  ผ่านความวิตกกังวล
ความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว
  
3:43  ความสิ้นหวัง
ความสลดหดหู่อันมหาศาล
  
3:49  เมื่อไม่สามารถแก้ไขสภาพนั้นได้
 
3:54  มนุษย์จึงแสวงหาทางรอด
โดยพึ่งพิงผู้อื่น
  
4:03  พึ่งพิงความเชื่อ
หรือลัทธิต่างๆ
  
4:07  และยอมรับอิทธิพลของผู้อื่น
 
4:14  ดังนั้น ในขณะที่เราสนทนากัน
 
4:17  พูดคุยถึงปัญหาเหล่านี้ด้วยกัน
 
4:24  หากเราเพียงแค่จำกัดตนเอง
 
4:26  อยู่ในปัญหาเล็กๆ น้อยๆ
เฉพาะของตัวเราเองเท่านั้น
  
4:32  การยึดเอาตนเอง
เป็นศูนย์กลางความสำคัญเช่นนั้น
  
4:38  จะทำให้จิตใจเราคับแคบยิ่งขึ้น
 
4:45  ถูกจำกัดมากขึ้น
กลายเป็นการจองจำเสียมากกว่า
  
4:48   
 
4:54  หากว่าในระหว่างการพูดสนทนา
 
4:56   
 
4:59  หรือการ ถาม-ตอบ คำถามนี้
 
5:03  หากเราสามารถเชื่อมโยง
ตัวเราเข้ากับมวลมนุษย์
  
5:09   
 
5:17  เชื่อมโยงกับมนุษยชาติทั้งปวง
 
5:20  เราเป็นส่วนหนึ่ง
ของมวลมนุษยชาตินั้น
  
5:26  พวกที่อยู่แถบตะวันออก
เขาก็เป็นทุกข์มากพอ ๆ กับคุณ
  
5:32  พวกเขามีความทุกข์โศกของเขา
 
5:36  ความไม่เป็นสุขของเขา
 
5:39  ความอ้างว้าง
โดดเดี่ยวเดียวดายของเขา
  
5:43  ความรู้สึกว่า
ถูกสังคมละเลยทอดทิ้ง
  
5:49  ไม่มีความมั่นคงปลอดภัย
 
5:53  ไม่มีความแน่นอนใจ
 
5:56  พวกเขาสับสนมาก
พอๆ กับพวกเราที่นี่
  
6:00  ดังนั้น โดยพื้นฐาน
ในด้านจิตใจ ในส่วนลึกแล้ว
  
6:05  เราเป็นส่วนหนึ่งของมนุษยชาติ
 
6:09  ผมคิดว่าเราต้องเข้าใจ
เรื่องนี้กันให้ถ่องแท้
  
6:13  ไม่ใช่เข้าใจเพียงถ้อยคำ หรือ
เข้าใจในระดับปัญญาความคิด
  
6:17  หรือเข้าใจในเชิงเหตุผลเท่านั้น
แต่เราต้องรู้สึกมันได้จริงๆ
  
6:22  ไม่ใช่เป็นความรู้สึกอ่อนไหว
หรือความคิดเพ้อฝัน
  
6:31  แต่เข้าใจความเป็นจริง ว่าเรา
เป็นส่วนหนึ่งของมวลมนุษยชาติ
  
6:35  ฉะนั้น เราจึงมี
ความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่
  
6:48  การจะนำมาซึ่งความเป็นหนึ่งเดียวกัน
ของมนุษย์ทุกผู้ทุกคน
  
6:52   
 
6:58  ก็มีแต่ศาสนาเท่านั้นที่จะทำได้
 
7:02  ที่จะนำเราทุกคนมารวมกันได้
 
7:05  ไม่ใช่การเมือง
 
7:09  ไม่ใช่วิทยาศาสตร์
 
7:12  ไม่ใช่ปรัชญาแนวใหม่ใดๆ
 
7:16  หรือการเจริญเติบโต
ขยายตัวทางเศรษฐกิจ
  
7:24  หรือองค์กรต่างๆ ทั้งหลาย
 
7:27  ไม่ว่าจะเป็นองค์กรทางการเมือง
หรือศาสนา
  
7:29  ไม่มีองค์กรใด
ที่จะนำเรามารวมกันได้
  
7:32  รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
 
7:35  ผมคิดว่า เราต้องตระหนัก
ในเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง
  
7:39  ว่าไม่มีองค์กรใด
 
7:43  ไม่ว่าเป็นองค์กรทางการเมือง
ศาสนา หรือเศรษฐกิจ
  
7:46  หรือองค์กรสหประชาชาติ
ในรูปแบบต่างๆ
  
7:53  ไม่มีองค์กรใด
ที่จะนำมนุษย์มารวมกันได้
  
7:56  มีแต่เพียงศาสนา
ในความหมายที่ลึกซึ้งเท่านั้น
  
8:01   
 
8:08  ที่จะนำเราทั้งหมดมารวมกันได้
 
8:12  คำว่า "ศาสนา" ที่เราหมายถึงนั้น
 
8:17  ไม่ใช่สิ่งทั้งหลาย
ที่กำลังเป็นไปในโลก
  
8:20  ไม่ใช่เรื่องงมงายทั้งหลาย และ
ความเชื่อต่าง ๆ ที่สร้างขึ้น
  
8:25  ไม่ใช่ลำดับชั้นอำนาจ
ที่จัดตั้งขึ้น
  
8:29  ไม่ใช่ลัทธิต่างๆ พิธีกรรม หรือ
ความเชื่อสารพัด
  
8:33  ศาสนาไปพ้นจากสิ่งทั้งปวงนั้น
 
8:37  ศาสนาเป็นวิถีแห่งการดำรงชีวิต
ในแต่ละวัน
  
8:46  และหากเราสามารถไตร่ตรองด้วยกัน
คิดร่วมกัน
  
8:50   
 
8:54  ไม่ใช่คิดเกี่ยวกับเรื่องใด
แต่หมายถึงมีศักยภาพ
  
8:57   
 
9:00  ที่สามารถจะดู ฟัง
และคิดร่วมกันได้
  
9:04   
 
9:11  เราจะทำเช่นนั้น
ในระหว่างการสนทนานี้ ได้ไหม
  
9:16  ไม่ใช่ว่าเราต้องเห็นพ้องกัน
 
9:20  หรือยอมรับความคิดเห็น
หรือการตัดสินของกันและกัน
  
9:25  แต่เราจะวางความคิดเห็น
ของตัวเราเอง
  
9:32  วางประสบการณ์ของเรา
และข้อสรุปต่างๆ ของเรา
  
9:35   
 
9:37  ถ้าเราละวางทั้งหมดนั้นได้
 
9:40  และมีศักยภาพที่จะคิดร่วมกัน
 
9:47  ไม่ใช่คิดเกี่ยวกับอะไรบางอย่าง
 
9:51  ซึ่งเป็นเรื่องที่ง่ายดาย
 
9:58  แต่สามารถที่จะเห็น
ในสิ่งเดียวกัน ร่วมกัน
  
10:05  รับฟังสาระสำคัญ
และความหมายนัยเดียวกัน
  
10:12  ฟังถึงความลึกซึ้งของถ้อยคำ
 
10:17  ได้ยินบทเพลงเดียวกัน
 
10:21  ไม่ตีความไปตามความชอบ
หรือความไม่ชอบของคุณเอง
  
10:25  แต่ฟังไปด้วยกัน
 
10:29  เพราะผมคิดว่า
มันเป็นเรื่องสำคัญมาก
  
10:35  ที่สามารถจะคิดร่วมกันได้
 
10:41  ไม่ใช่คิดในลักษณะของกลุ่ม
 
10:47  ที่มีความคิดเหมือนๆ กัน
 
10:50  มีมุมมองเหมือนกัน
 
10:53  มีทัศนะที่เหมือนกัน
 
11:00  แต่เมื่อได้ละวาง
ทัศนคติจำเพาะของตน
  
11:07  วางความเคยชินของความคิด
 
11:10  แล้วมาคิดร่วมกัน
 
11:18  อย่างเช่น เราสามารถคิดร่วมกัน
เกี่ยวกับความเชื่อ
  
11:24  เราสามารถถกเถียง หรือคัดค้านกัน
เพื่อความเชื่อนั้น
  
11:28  เราจะเห็นได้ว่า
ความเชื่อมีความสำคัญเพียงใด
  
11:31  ต่อการที่จะมี
ความรู้สึกมั่นคงทางจิตใจ
  
11:36  และเมื่ออยากได้ความมั่นคงนั้น
เราจึงยอมเชื่ออะไรก็ได้
  
11:47  นี่คือสภาพที่กำลังเกิดขึ้นในโลก
 
11:52  เราหลงเชื่อ ในสิ่งที่เบาปัญญา
ไร้สาระเป็นที่สุด
  
11:56  ทั้งในด้านเศรษฐกิจ ศาสนา
และในทุกๆ ด้าน
  
12:02  ดังนั้น เราสามารถมาคิดร่วมกันได้
ในเรื่องความเชื่อ
  
12:05  เราอาจเห็นด้วยบ้าง
หรือไม่เห็นด้วยบ้าง
  
12:11  แต่เรามาลองคิดแบบอื่นๆ กันบ้าง
 
12:15  ซึ่งไม่ใช่การคิด
เกี่ยวกับเรื่องใด
  
12:19  แต่เป็นการคิดร่วมกัน
 
12:22  ไม่ทราบว่า ผมสื่อได้ชัดเจนไหม
 
12:33  ปรากฏว่าไม่มีแม้เพียงแค่สองคน
ที่สามารถจะคิดร่วมกันได้
  
12:38  นอกจากเมื่อมีหายนะภัยบางอย่าง
 
12:43  เมื่อมีความทุกข์โศกอย่างมหันต์
 
12:48  หรือเมื่อมีวิกฤตการณ์ เมื่อนั้น
ผู้คนจึงมารวมกันและคิดร่วมกัน
  
12:55  เช่นเมื่อเกิดสงคราม
หรือวิกฤติอื่นๆ
  
13:01  มักจะเป็นการคิดร่วมกันเกี่ยวกับ
อะไรบางอย่างอยู่เสมอ ใช่ไหม
  
13:08   
 
13:11  แต่สิ่งที่เรากำลังพยายามทำอยู่นี้
คือการคิดร่วมกัน
  
13:19  ซึ่งจะเป็นเไปได้ก็ต่อเมื่อ
เราลืมตัวเราเสียชั่วขณะ เท่านั้น
  
13:25  วางปัญหาของเรา แนวโน้มของเรา
 
13:29  วางความสามารถทางปัญญาความคิด
และอะไรต่อมิอะไร
  
13:32  แล้วมาเข้าใจด้วยกัน
 
13:40  ซึ่งต้องอาศัยความรู้สึกใส่ใจ
ระดับหนึ่ง
  
13:46  ต้องรู้ตัวอยู่ระดับหนึ่ง
 
13:53  ว่าเราทุกคนร่วมอยู่ด้วยกัน
 
13:59  ในการคิดลักษณะนี้
 
14:01  ผมไม่ทราบว่าจะชี้แจงอย่างไร
ให้ชัดเจนยิ่งกว่านี้
  
14:05  เราจะทำเช่นนี้กับทุกๆ ปัญหาของเรา
ได้ไหม
  
14:10   
 
14:13  เราอาจจะคิดร่วมกันได้
เกี่ยวกับปัญหาของเรา
  
14:17  แต่การจะมีศักยภาพ
ที่จะคิด ในระดับเดียวกัน
  
14:21   
 
14:25  อย่างเข้มข้นจริงจังเหมือนกัน
 
14:30  ไม่ใช่คิดในเรื่องใด
แต่เป็นความรู้สึกที่จะคิดร่วมกัน
  
14:32   
 
14:36  ผมไม่ทราบว่า คุณเข้าใจไหม
 
14:45  ถ้าเราทำเช่นนั้นได้
 
14:49  เราสามารถจะคิดร่วมกันได้
ในหลายๆ สิ่ง
  
14:57  นั่นหมายถึง มีอิสรภาพ
ในลักษณะหนึ่ง
  
15:02  เป็นการไม่ยึดติด ลักษณะหนึ่ง
 
15:06  ซึ่งไม่ได้เกิดจากใช้กำลัง
หรือการบีบบังคับ
  
15:09  หรือการผลักดัน
 
15:13  แต่เป็นอิสรภาพ
จากภูมิหลังของตัวเราเอง
  
15:18   
 
15:24  แล้วมาเข้าใจร่วมกัน
 
15:35  เพราะการทำเช่นนี้สำคัญมากจริงๆ
 
15:43  ในเมื่อเราต้องการ
สร้างสรรค์สังคมที่ดีงาม
  
15:52  นักปรัชญาได้พูดเรื่องนี้ไว้แล้ว
 
15:55  ชาวกรีกโบราณ ชาวฮินดูโบราณ
 
15:59  และชาวจีนได้พูดมาแล้ว
 
16:02  ถึงการสร้างสังคมอันดีงาม
 
16:07  นั่นคือ สร้างขึ้นในอนาคต
ในอนาคตข้างหน้า
  
16:10   
 
16:13  เราจะสร้างสังคมที่ดีงาม
ให้เป็นไปตามอุดมคติ ตามแบบแผน
  
16:15   
 
16:18  ตามความรู้สึกบางอย่างในอุดมคติ
และอื่นๆ
  
16:27  แต่เท่าที่เราได้รู้
ได้เห็น มาทั่วโลก
  
16:30  สังคมอันดีงาม
ยังไม่เคยเกิดขึ้นเลย
  
16:35  อาจจะมีคนดีอยู่บ้าง
 
16:39  มันยากขึ้นๆเรื่อยๆ
ที่จะเป็นคนดีอยู่ในโลกนี้
  
16:47  และ เราก็มองไปยังอนาคตอยู่เสมอ
 
16:50  เพื่อจะสร้างสังคมที่ดีงามขึ้นมา
 
16:55  ดีในความหมายที่
 
16:57  ผู้คนอาศัยอยู่บนโลกนี้
ได้อย่างสุขสงบ
  
17:01  ปราศจากสงคราม
ปราศจากการเข่นฆ่ากัน
  
17:07  ปราศจากการแก่งแย่งชิงดีกัน
ซึ่งหมายถึงอิสรภาพมหาศาล และอื่นๆ
  
17:10   
 
17:15  เราจะยังไม่นิยามคำว่า
ความดีงามในขณะนี้
  
17:19  เพราะคำนิยามของ ความดีงาม
ไม่อาจทำให้เราเป็นคนดีได้
  
17:28  ดังนั้น เรามาคิดร่วมกันได้ไหม
 
17:37  การคิดร่วมกันจำเป็นที่สุด
สำหรับสังคมอันดีงาม
  
17:41   
 
17:46  สังคม คือสภาพที่เราเป็นอยู่
 
17:50  สังคมไม่ได้เกิดขึ้นอย่างลึกลับ
 
17:55  มันไม่ได้เสกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า
มนุษย์นั่นแหละสร้างสังคมนี้
  
17:57   
 
17:59  พร้อมกับสงครามทั้งหลาย
และทุกสิ่งทุกอย่างที่ดำเนินอยู่นี้
  
18:02  เราไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงรายละเอียด
ของความน่าเกลียดน่ากลัวเหล่านั้น
  
18:12  และสังคมนั้น คือสภาพที่เราเป็นอยู่
สิ่งที่มนุษย์แต่ละคนเป็นอยู่
  
18:16   
 
18:22  นั่นเห็นได้ค่อนข้างชัดเจน
 
18:26  นั่นก็คือ เราสร้างสังคมนี้ขึ้นมา
พร้อมๆกับการแบ่งแยกทั้งหลายด้วย
  
18:30   
 
18:33  พร้อมกับความขัดแย้ง
พร้อมกับความน่าสะพรึงกลัว
  
18:37  พร้อมกับความไม่เท่าเทียมกัน
 
18:40  และอะไรต่อมิอะไรทั้งหมด
 
18:42  เพราะภายในตัวเราเอง
เราเป็นเช่นนั้น
  
18:46  ในความสัมพันธ์ต่อกันของเรา
เราเป็นเช่นนั้น
  
18:51  เราอาจจะมีความอดทน
อดกลั้นอยู่บ้าง
  
18:56  มีความรัก เอื้อเอ็นดูอยู่บ้าง
ในความสัมพันธ์ส่วนตัว
  
19:01  แต่นั่นก็ยังน่ากังขาอยู่
 
19:06  แต่กับผู้คน กับคนอื่นๆ
เราไม่ได้เป็นอย่างนั้น
  
19:14  ซึ่งก็เห็นได้
ค่อนข้างชัด อีกเช่นกัน
  
19:16  เมื่อคุณอ่านหนังสือพิมพ์
และนิตยสารต่างๆ
  
19:19  เมื่อคุณเห็นได้จริงๆ
ถึงสภาพที่ดำเนินอยู่
  
19:24  ดังนั้น
สังคมอันดีงามจะเกิดขึ้นได้
  
19:28   
 
19:32  ไม่ใช่เกิดขึ้นในอนาคต
แต่เกิดขึ้นได้ในขณะนี้ เท่านั้น
  
19:35  เมื่อมนุษย์เรา
 
19:36  ก่อให้เกิดความสัมพันธ์
ที่ถูกต้องระหว่างกัน
  
19:41  นั่นเป็นไปได้ไหม
 
19:44  ซึ่งไม่ใช่ในอนาคตข้างหน้า
 
19:49  แต่ก่อให้เกิดขึ้นจริงๆ
ในปัจจุบัน
  
19:52  ในชีวิตแต่ละวันของเรา
 
19:56  เราจะสร้างสัมพันธภาพ
ที่ดีงามอย่างแท้จริง ได้ไหม
  
20:01  "ดี" โดยปราศจากการครอบงำ
 
20:07  ปราศจากผลประโยชน์ส่วนตัว
 
20:11  ปราศจากความทนงตน
ความทะยานอยาก และอื่นๆ
  
20:14   
 
20:16  เพื่อว่าจะมี
ความสัมพันธ์ระหว่างกัน
  
20:21  และโดยแก่นแท้ของความสัมพันธ์นั้น
ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรัก
  
20:27  หากผมจะใช้คำว่าความรักได้
ผมหวังว่าคุณคงไม่ว่ากระไร
  
20:39  นั่นเป็นไปได้ไหม
 
20:46  เป็นไปได้ไหม
ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์ปุถุชน
  
20:50  ผู้อาศัยอยู่ในโลกอันเลวร้าย
ที่เราสร้างมันขึ้นมา
  
20:59  เราจะสามารถเปลี่ยนแปลงตนเอง
อย่างสิ้นเชิงได้ไหม
  
21:02   
 
21:06  นั่นคือประเด็นสำคัญ
 
21:11  นักปรัชญาบางคน
และคนอื่นๆ กล่าวไว้ว่า
  
21:16  สภาพที่ถูกครอบงำของมนุษย์ไม่อาจ
เปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคนได้
  
21:21  คุณอาจจะปรับปรุง ขัดเกลาได้บ้าง
ทำให้มันประณีตขึ้นบ้าง
  
21:24   
 
21:27  แต่คุณสมบัติพื้นฐานของสภาพ
ที่ถูกครอบงำ คุณเปลี่ยนแปลงไม่ได้
  
21:33   
 
21:37  มีผู้คนมากมายที่คิดเช่นนั้น
 
21:41  เช่น พวกนักปรัชญาอัตถิภาวนิยม
(ผู้ศึกษาสภาพความเป็นมนุษย์) ฯลฯ
  
21:50  เพราะเหตุใดเราจึงยอมรับ
การถูกครอบงำของเรา
  
21:56  ผมหวังว่าคุณคงเข้าใจ
สิ่งที่เรากำลังพูดอยู่นี้นะครับ
  
21:59  เพราะเหตุใด
เราจึงยอมรับการถูกครอบงำ
  
22:03  ซึ่งนำไปสู่โลกที่บ้าคลั่ง
โลกที่พิกลพิการ
  
22:05   
 
22:14  โลกที่เราต้องการสันติภาพ
แต่เรากลับสร้างสมอาวุธสงคราม
  
22:19  โลกที่เราต้องการสันติภาพ
แต่เราแบ่งแยกกันโดยชาตินิยม
  
22:24  แบ่งแยกกันทางเศรษฐกิจ ทางสังคม
 
22:27  เราต้องการสันติภาพ แต่ศาสนาต่างๆ
กำลังทำให้เราแตกแยกกัน
  
22:32  เช่นเดียวกับองค์กรทั้งหลาย
 
22:36  โลกภายนอกขัดแย้งกันอย่างมหันต์
เหมือนกับภายในตัวเรา
  
22:40   
 
22:46  ผมสงสัยว่า เราตระหนัก
ถึงสิ่งเหล่านี้ในตัวเราหรือเปล่า
  
22:52  ไม่เพียงสภาพที่
กำลังเกิดอยู่ข้างนอกเท่านั้น
  
22:56  เราส่วนใหญ่รู้
ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นภายนอก
  
23:01  คุณไม่จำเป็นต้องฉลาดมากมาย
เพียงสังเกตดูก็รู้ได้
  
23:09  และความสับสนวุ่นวายข้างนอกนั้น
 
23:12  ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิด
อิทธิพลครอบงำ
  
23:19  เราถามว่า
 
23:21  เป็นไปได้ไหม
ที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่
  
23:25  ในตัวเราอย่างสิ้นเชิง
 
23:30  เพราะเมื่อเป็นเช่นนั้นเท่านั้น
ที่เราจะมีสังคมอันดีงามได้
  
23:37  สังคมที่เราไม่ทำร้ายกัน
 
23:40  ไม่ว่าจะเป็นด้านจิตใจหรือร่างกาย
 
23:47  เมื่อเราถามคำถามนี้ต่อตนเอง
 
23:54  การตอบสนองลึกๆ ในใจเรา
ต่อคำถามนั้น คืออะไร
  
24:05  เราถูกอิทธิพลครอบงำอยู่
 
24:08  ไม่ใช่แค่ครอบงำให้เป็นชาวอังกฤษ
เยอรมัน ฝรั่งเศส และอื่นๆ
  
24:14  แต่เรายังถูกครอบงำโดย
ความปรารถนาในรูปแบบต่างๆด้วย
  
24:20  โดยความเชื่อทั้งหลาย
 
24:26  ความเพลิดเพลินใจ
 
24:31  และความขัดแย้ง
ความขัดแย้งนานา ทางจิตใจ
  
24:34  ทั้งหมดนั้นมีส่วนทำให้เกิด
การครอบงำนี้ และอื่นๆ อีกมาก
  
24:39  เราจะสืบค้นเข้าไปในเรื่องนี้
 
24:41  เรากำลังถามตนเอง
 
24:45  กำลังคิดร่วมกัน
 
24:50  ผมหวังว่าเรากำลังคิด
ร่วมกันอยู่
  
24:53  ว่าเป็นไปได้ไหม
ที่อิทธิพลครอบงำนี้
  
24:57  เป็นไปได้ไหมที่กรงขังมนุษย์นี้
 
25:06  รวมทั้งความเศร้าโศก ความอ้างว้าง
ความกังวลใจที่มากับมัน
  
25:12  อีกทั้งข้อกล่าวอ้างต่างๆ
ของตนเอง
  
25:16  ความต้องการส่วนตัว การเติมเต็ม
ความปรารถนาของตน และะอื่นๆ
  
25:19  นั่นคือสภาพที่ถูกครอบงำของเรา
 
25:21  นั่นคือจิตสำนึกของเรา
 
25:28  และจิตสำนึกของเรา
ก็คือ เนื้อหาของมัน
  
25:36  แล้วเราถามว่า
 
25:38  เป็นไปได้ไหมที่โครงสร้างทั้งหมด
จะเปลี่ยนใหม่โดยสิ้นเชิง
  
25:46  ไม่เช่นนั้น
เราจะไม่มีสันติภาพในโลกนี้เลย
  
25:55  อาจจะมีการปรับเปลี่ยนบ้าง
แค่เล็กๆน้อยๆ
  
26:00  แต่มนุษย์จะยังคงสู้รบกัน
ทะเลาะเบาะแว้งกัน
  
26:04  อยู่กับความขัดแย้งภายในตนเอง
และภายนอกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
  
26:13  นั่นแหละคือคำถามของเรา
 
26:21  เราจะคิดเรื่องนี้ร่วมกันได้ไหม
 
26:31  จึงมีคำถามเกิดขึ้นว่า
แล้วเราจะทำอย่างไรดี
  
26:40  เรารู้ตัวว่า เราถูกครอบงำ
รู้อยู่ สำนึกอยู่
  
26:44   
 
26:50  การครอบงำนี้เกิดขึ้น
จากความอยากของเราเอง
  
26:58  จากความเห็นแก่ตัวทั้งหลาย
 
27:06  จากการไม่มีสัมพันธภาพ
ที่ถูกต้องต่อกัน
  
27:14  จากความรู้สึกอันอ้างว้าง
ว่างเปล่าของตนเอง
  
27:20  แม้เราจะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย
 
27:22  มีความสัมพันธ์
ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกัน
  
27:27  แต่ภายในจิตใจตนเอง
ยังคงรู้สึกว่างเปล่าอยู่เสมอ
  
27:30   
 
27:36  ทั้งหมดนั้น
คือสภาพที่เราถูกครอบงำอยู่
  
27:40  ถูกครอบงำทางความคิด
ทางจิตใจ ทางอารมณ์
  
27:44  ตลอดจนทางกายตามธรรมชาติด้วย
 
27:48  ดังนั้น เป็นไปได้ไหมที่ทั้งหมดนี้
จะเปลี่ยนแปลงใหม่โดยสิ้นเชิง
  
27:54  ผมรู้สึกว่า
นั่นแหละคือการปฏิวัติอย่างแท้จริง
  
28:01  เป็นการปฏิวัติที่ไม่มีความรุนแรง
 
28:09  แล้วเราจะเปลี่ยนแปลงด้วยกันได้ไหม
 
28:14  หรือถ้าคุณเปลี่ยนแปลง
 
28:16  ถ้าคุณเข้าใจสภาพที่ถูกครอบงำ
 
28:20  และสลายสภาพที่ถูกครอบงำนั้น
 
28:27  แต่อีกคนหนึ่ง ยังถูกครอบงำอยู่
 
28:30  คนที่ถูกครอบงำอยู่นั้น
จะรับฟังอีกคน ได้ไหม
  
28:34  คุณเข้าใจไหม
 
28:39  ถ้าหากคุณไม่ถูกครอบงำอีกแล้ว
 
28:41  ผมจะรับฟังคุณไหม
 
28:47  แล้วอะไรที่จะทำให้ผมรับฟังคุณ
 
28:53  แรงกดดันใดหรือ
 
28:57  อิทธิพลใด
 
28:59  รางวัลใด
 
29:05  อะไรหรือ ที่จะทำให้ผมฟังคุณ
 
29:10  ฟังด้วยหัวใจของผม ด้วยจิตของผม
ฟังด้วยทั้งชีวิตของผม
  
29:15  เพราะถ้าเราสามารถฟัง
อย่างสมบูรณ์แล้ว
  
29:23  ทางแก้ปัญหาอาจจะอยู่ตรงนั้นก็ได้
 
29:27  แต่ดูเหมือนว่า เราไม่ได้ฟังเลย
 
29:34  ดังนั้น เราจึงถามว่า
 
29:36  อะไรจะทำให้มนุษย์คนหนึ่ง
เปลี่ยนแปลง
  
29:40  ในเมื่อเขารู้ว่าเขาถูกครอบงำอยู่
พวกเราส่วนใหญ่ก็รู้
  
29:45  หากคุณตระหนักรู้ด้วยปัญญาจริงๆ
 
29:50  อะไรที่จะทำให้เราเปลี่ยนแปลงได้
 
29:56  โปรดถามคำถามนี้กับตัวเราเอง
ขอให้เราแต่ละคนค้นหาว่า
  
30:01  อะไรที่จะทำให้เราแต่ละคน
เกิดการเปลี่ยนแปลงใหม่
  
30:07  เป็นอิสระจากสภาพที่ถูกครอบงำนี้
 
30:12  โดยไม่กระโดด
ไปสู่อิทธิพลครอบงำอื่น
  
30:18  เหมือนกับทิ้งการเป็นชาวคาทอลิก
แล้วไปเป็นชาวพุทธ
  
30:22  มันก็ยังอยู่ในรูปแบบเดิม
 
30:32  ดังนั้น อะไรที่จะทำให้เรา
เราแต่ละคน
  
30:38  เราเองผู้ที่ค่อนข้างมั่นใจ
 
30:42  ผู้ปรารถนา
ที่จะทำให้เกิดสังคมอันดีงาม
  
30:47  อะไรจะทำให้เราเปลี่ยนแปลงใหม่
 
30:58  มีการให้สัญญาว่า เมื่อเปลี่ยนแล้ว
จะได้รางวัลตอบแทน
  
31:03  มีของล่อใจใหม่ๆ เช่น สรวงสวรรค์
 
31:08  อุดมการณ์ใหม่ ชุมชนใหม่
 
31:14  กลุ่มใหม่ คุรุคนใหม่
 
31:17   
 
31:20   
 
31:22  มีรางวัล หรือ การลงโทษ
 
31:25  "ถ้าเธอไม่ทำอย่างนี้ เธอก็จะตกนรก"
 
31:30  ฉะนั้น การคิดทั้งหมดของเรานั้น
 
31:31  ล้วนตั้งอยู่บนหลักการของ
การได้รางวัลและการถูกลงโทษ
  
31:37  "ผมจะทำอย่างนั้น
ถ้าทำแล้วผมได้อะไรบางอย่าง"
  
31:45  แต่ทัศนคติเช่นนั้น
หรือวิธีคิดเช่นนั้น
  
31:49  ไม่ทำให้เกิด
การเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง
  
31:54  แต่การเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง
เป็นสิ่งจำเป็นสูงสุด
  
31:59  ผมแน่ใจว่า เราทุกคน
ตระหนักถึงเรื่องนี้ดี
  
32:07  ดังนั้น เราควรจะทำอย่างไร
 
32:10  พวกคุณบางคน
 
32:13  ฟังผู้พูดมานานหลายปี
 
32:22  ผมสงสัยว่าเพราะเหตุใด
 
32:28  เมื่อได้ฟังแล้ว
มันกลับกลายเป็นมนตราชนิดใหม่
  
32:31   
 
32:35  คุณรู้ไหมว่า มนตรานั้นหมายถึงอะไร
 
32:38  มันเป็นคำในภาษาสันสกฤต
 
32:41  ความหมายที่แท้จริงก็คือ
 
32:45  การไม่เอาตนเอง
เป็นศูนย์กลางความสำคัญ
  
32:53  และการพินิจใคร่ครวญ
ในการ"ไม่เป็น" อะไรเลย
  
32:56   
 
32:59  นั่นคือความหมายของคำนั้น
มนตราหมายความอย่างนั้น
  
33:04  ละทิ้งการเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง
 
33:14  และพินิจใคร่ครวญ เฝ้าสังเกต
 
33:16  มองดูตนเอง
เพื่อว่าคุณจะ "ไม่เป็น" อะไรเลย
  
33:21  นั่นคือความหมายที่แท้จริง
ของคำๆ นั้น
  
33:24  ซึ่งถูกทำให้ผิดเพี้ยนเสียหาย
 
33:26  โดยเรื่องไร้สาระ เช่น
การทำสมาธิเพื่อไปเหนือโลก(T.M.)
  
33:34  ฉะนั้น เมื่อพวกคุณบางคน
ได้ฟังมาแล้วหลายปี
  
33:45  เรารับฟัง และฉะนั้น
จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
  
33:51  หรือคุณได้แต่คุ้นเคยกับศัพท์แสง
ถ้อยคำ แล้วดำเนินชีวิตดังเดิม
  
33:56   
 
34:01  เราจึงถามว่า
 
34:02  อะไรจะทำให้มนุษย์
ทำให้คนคนหนึ่ง
  
34:06  ผู้มีชีวิตมาหลายล้านปีแล้ว
 
34:10  และยังคงดำเนินชีวิตดังเดิม
 
34:14  สืบสัญชาตญาณเดิม
 
34:18  ที่ปกป้องตนเอง หวาดกลัว
ต้องการความมั่นคงปลอดภัย
  
34:24  รู้สึกห่วงกังวลต่อตนเอง จึงทำให้
เกิดความโดดเดี่ยวอย่างใหญ่หลวง
  
34:28   
 
34:32  อะไรจะทำให้มนุษย์ผู้นั้น
เปลี่ยนแปลงได้
  
34:46  พระเจ้าองค์ใหม่หรือ
 
34:51  ความบันเทิงรูปแบบใหม่หรือ
 
34:56  เกมส์การแข่งขันทางศาสนา
แบบใหม่ๆ หรือ
  
35:02  สังเวียนการแสดงชนิดใหม่
และสิ่งต่างๆ เหล่านั้นหรือ
  
35:09  อะไรจะทำให้เราเปลี่ยนแปลง
 
35:15  เท่าที่รู้ ที่เห็น ความทุกข์โศก
ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมนุษย์
  
35:22  เพราะว่าเราได้ทุกข์ทรมานมาแล้ว
อย่างแสนสาหัส
  
35:26  ไม่เฉพาะทุกข์ของแต่ละคน
แต่ความทุกข์ที่ร่วมกัน
  
35:29  ทุกข์ของปวงมนุษยชาติ
เราทุกข์ทรมานมาแล้วอย่างมหันต์
  
35:34  จากสงคราม โรคภัย ความเจ็บปวด
และความตาย
  
35:38   
 
35:44  เราทุกข์ทรมานกันมาอย่างใหญ่หลวง
 
35:48  และปรากฎชัดว่า ความทุกข์โศก
ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเราเลย
  
35:57  ความกลัวก็เช่นกัน
 
36:06  ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเรา
 
36:09  เพราะว่าใจของเราไขว่คว้า
แสวงหาตลอดเวลา
  
36:13  เพื่อให้ได้ความสุขเพลิดเพลิน
 
36:16  แม้ว่าความเพลิดเพลินนั้น
จะเป็นความเพลิดเพลินเดิมๆ
  
36:19  ในรูปแบบต่างออกไป
ซึ่งนั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเรา
  
36:23  ฉะนั้น อะไรจะทำให้เราเปลี่ยนแปลง
 
36:33  ดูเหมือนเราจะไม่สามารถทำอะไร
ได้โดยสมัครใจ
  
36:41  เราจะทำอะไรๆ ก็ต่อเมื่อถูกกดดัน
 
36:48  จะไม่ทำ ถ้าไม่มีแรงกดดัน
 
36:51  ถ้าไม่รู้สึกว่าจะได้รับผลตอบแทน
หรือได้รับโทษ
  
36:54  แต่เรื่องผลตอบแทนและการลงโทษนั้น
เป็นเรื่องโง่ที่จะนำมาคิด
  
37:01  ถ้าไม่รู้สึกไปถึงอนาคตข้างหน้า
เราก็ไม่ทำ
  
37:06  ผมไม่ทราบว่า คุณเคยไตร่ตรอง
คำถามเกี่ยวกับอนาคตบ้างไหม
  
37:09  ซึ่งอนาคตอาจจะเป็นสิ่งหลอกลวง
ในจิตใจของเรา
  
37:11   
 
37:16  เราจะพิจารณากันต่อไป
 
37:19  ถ้าคุณละทิ้งสิ่งทั้งหมดนั้นได้
 
37:26  แล้วสภาวะของจิตใจคุณ
 
37:30  ที่เผชิญอยู่กับปัจจุบันขณะ
อย่างเต็มที่ จะเป็นเช่นไร
  
37:34  คุณเข้าใจคำถามของผมไหม
 
37:38  เราสื่อถึงกันอยู่หรือเปล่า
 
37:41  โปรดบอกด้วยว่าสื่อกันเข้าใจหรือไม่
เพราะผมไม่ทราบว่าพวกเราอยู่ตรงไหน
  
37:50  ผมหวังว่า ผมไม่ได้พูดให้ตนเองฟัง
 
38:01  ถ้าเราตระหนักได้ว่า
เราติดอยู่ในคุก
  
38:06  คุกที่ตนเองเป็นผู้สร้างขึ้น
 
38:12  ตนเองซึ่งเป็นผลมาจากอดีต
 
38:15  จากพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย และอื่นๆ
 
38:17  ถ่ายทอดกันมา ได้รับมา
หรือถูกยัดเยียดให้มา
  
38:25  นั่นคือคุกทางจิตใจ
ที่เราอาศัยอยู่
  
38:37  และสัญชาตญาณโดยธรรมชาติ
ก็จะแหวกฝ่าออกจากคุกนั้น
  
38:50  ทีนี้ เราตระหนักกันหรือยังว่า
เป็นอย่างนั้น
  
38:55  ไม่ใช่ตระหนักอย่างเป็นแนวคิด
 
38:58  ไม่ใช่อย่างเป็นข้อสรุปรวบยอด
แต่ตระหนัก ตามที่เป็นอยู่จริงๆ
  
39:03  ตามสภาพจิตใจที่เป็นอยู่จริงๆ
 
39:08  เมื่อเราเผชิญอยู่กับความจริงนั้น
 
39:16  เหตุใดจึงยังเปลี่ยนแปลงไม่ได้
 
39:23  คุณเข้าใจคำถามผมหรือเปล่า
 
39:41  นี่คือปัญหา
 
39:45  เป็นปัญหาสำหรับผู้คนที่จริงจัง
 
39:50  สำหรับทุกคนที่เป็นห่วงเป็นใย
ต่อภัยพิบัติของมนุษย์
  
39:58  ต่อความทุกข์ทรมานของมนุษย์
 
40:04  และถามตนเองว่า ทำไมพวกเราทุกคน
 
40:09  จึงไม่ทำให้เกิดความกระจ่างแจ้ง
ในตนเอง
  
40:14  เกิดความรู้สึกถึงอิสรภาพ
 
40:18  ความรู้สึกถึงการเป็นคนดี
โดยธาตุแท้
  
40:26  ไม่ทราบว่า คุณสังเกตเห็นไหม
ว่าบรรดานักคิด
  
40:29  นักประพันธ์ นักเขียน
 
40:31  และบุคคลที่ได้ชื่อว่า
เป็นผู้นำของโลก
  
40:36  พวกเขาต่างก็ไม่พูด
ถึงการก่อให้เกิดสังคมอันดีงาม
  
40:39  พวกเขาเลิกรากันไปหมดแล้ว
 
40:45  เมื่อวันก่อน
เราได้คุยกับบุคคลเหล่านี้บางคน
  
40:47  พวกเขากล่าวว่า
"ช่างเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดี"
  
40:49  "นั่นเป็นเรื่องล้าสมัย
ทิ้งมันไปเถิด"
  
40:52  "ไม่มีสิ่งที่เป็นสังคมอันดีงาม
อยู่อีกแล้ว"
  
40:56  "นั่นเป็นเรื่องสมัยวิคตอเรีย
ที่โง่เขลา ไร้สาระ"
  
41:02  "เราต้องยอมรับสภาพความเป็นจริง
และอยู่กับมัน"
  
41:07  บางทีพวกเราส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างนั้น
 
41:17  ดังนั้น คุณกับผม
ในฐานะที่เราทั้งสองเป็นเพื่อนกัน
  
41:22  พูดคุยกันถึงเรื่องเหล่านี้
แล้วเราจะทำอย่างไร
  
41:30  ความเป็นผู้รู้ของคนอื่น
ไม่ได้ทำให้เปลี่ยนแปลง
  
41:33  ไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ใช่ไหม
  
41:39  ถ้าผมยอมรับคุณ
ให้เป็นผู้รู้ของผม
  
41:42  เพราะผมต้องการเปลี่ยนแปลง
อย่างถอนรากถอนโคนในตัวผม
  
41:46  และบางทีอาจจะทำให้เกิดสังคม
ที่ดีงามได้
  
41:50  ความคิดที่ว่า ผมเชื่อฟังคุณ
 
41:55  คุณสั่งสอนผมนั่นแหละ
ที่ทำให้สังคมอันดีงามสิ้นสุดลง
  
41:59   
 
42:01  ผมไม่ทราบว่าคุณเข้าใจไหม
 
42:05  ผมเป็นคนไม่ดี
แต่คุณสอนให้ผมเป็นคนดี
  
42:15  หรือผมยอมรับคุณ
ว่าเป็นผู้รู้สูงสุด
  
42:21  ในเรื่องศีลธรรมคุณธรรม
และผมก็เชื่อฟังคุณ
  
42:23  การยอมรับผู้รู้
และการเชื่อฟังนั่นแหละ
  
42:28  ที่ทำลายสังคมอันดีงามโดยแท้
 
42:34  มันเป็นอย่างนั้นไม่ใช่หรือ
 
42:35  ผมสงสัยว่าคุณเข้าใจไหม
 
42:44  เรามาพูดคุยเรื่องนี้
ให้ลึกลงไปอีก ดีไหม
  
42:48  ถ้าผมมีผู้รู้อยู่คนหนึ่ง
ขอบคุณพระเจ้า ที่ผมไม่มี
  
42:52  ถ้าผมมีผู้รู้อยู่คนหนึ่ง
และผมเชื่อฟังเขา
  
42:59  ผมได้ทำอะไรต่อตัวผมเองหรือ
 
43:02  ผมทำอะไรกับโลก
 
43:07  ไม่ได้ทำอะไรเลย
 
43:09  เขาสอนผมในเรื่องไร้สาระ
 
43:12  ว่าให้ทำสมาธิอย่างไร
ทำอย่างนี้ หรืออย่างนั้น
  
43:14  แล้วผมจะได้ประสบการณ์มหัศจรรย์
หรือตัวลอยอยู่ในอากาศได้
  
43:18  และเรื่องไร้สาระอื่นๆ ทั้งหลาย
 
43:23  แต่ความตั้งใจของผม
คือการสร้างสังคมอันดีงาม
  
43:30  ที่ที่เราจะมีความสุขได้
ที่ที่มีความรัก ความเอื้ออารี
  
43:32   
 
43:36  มีความสัมพันธ์ต่อกัน
จนไม่มีอุปสรรคขวางกั้น
  
43:39  นั่นคือสิ่งที่ผมปรารถนาเฝ้ารอคอย
 
43:42  ผมไปหาคุณ ในฐานะที่คุณเป็น
ผู้รู้ของผม ผมได้ทำอะไรลงไปหรือ
  
43:45  ผมได้ทำลายสิ่งที่ผมต้องการจริงๆ
 
43:52  เพราะอิทธิพลอำนาจของผู้รู้
 
43:57  ที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องของกฎหมาย
และอื่นๆ ทำนองนั้น
  
44:00  อำนาจของความเป็นผู้รู้ทางจิตใจ
ทำให้เกิดการแบ่งแยก
  
44:06  โดยธรรมชาติของอำนาจนั้น
มันเป็นตัวแบ่งแยกอยู่แล้ว
  
44:12  คุณอยู่เหนือ ส่วนผมอยู่ต่ำกว่า
 
44:16  และดังนั้น คุณจึงก้าวล้ำ
สูงขึ้นๆ อยู่เสมอ
  
44:19  และผมก็ก้าวสูงขึ้นๆ เช่นกัน
เราจึงไม่เคยได้พบกัน
  
44:24   
 
44:26  (เสียงหัวเราะ)
คุณหัวเราะขบขำ ผมทราบ
  
44:28  แต่จริงๆ แล้ว
นี่คือสิ่งที่พวกเราทำกันอยู่
  
44:34  ดังนั้น ผมจะตระหนักได้ไหมว่า
ผู้รู้รวมทั้ง
  
44:39   
 
44:43  องค์กรที่เขาพัวพันอยู่
จะไม่ทำให้ผมเป็นอิสระได้เลย
  
44:49  ผู้รู้ให้ความรู้สึก
มั่นคงปลอดภัยแก่เรา
  
44:55  เมื่อ "ผมไม่รู้ ผมสับสน
แต่คุณรู้"
  
45:00  "หรืออย่างน้อย
ผมก็คิดว่าคุณรู้"
  
45:03  "นั่นก็ดีพอแล้วสำหรับผม"
 
45:04  "ผมลงทุนลงแรง และยังฝากความต้องการ
ความมั่นคงปลอดภัยเอาไว้กับคุณ"
  
45:08   
 
45:12  "ไว้กับสิ่งที่คุณพูดถึง"
 
45:16  แล้วเราก็สร้างองค์กร
ขึ้นมาโอบล้อม
  
45:20  และตัวองค์กรนั่นแหละ
ที่กลายเป็นคุกขัง
  
45:24  ผมไม่ทราบว่า
คุณรู้เรื่องทั้งหมดนี้ไหม
  
45:28  นั่นคือเหตุผลว่าทำไม เราจึงไม่ควร
สังกัดองค์กรทางจิตวิญญาณใดๆ
  
45:31  ไม่ว่ามันจะให้ความหวัง
 
45:36  จะหว่านล้อมเรา
จะน่าใฝ่ฝันเพียงใดก็ตาม
  
45:46  เป็นไปได้ไหม ที่เราเพียงแค่รับรู้
และเห็นมันร่วมกัน
  
45:52  คุณเข้าใจคำถามผมหรือไม่
 
45:53  เห็นร่วมกัน ว่ามันคือความจริง
 
45:56  และด้วยเหตุที่
เราเห็นเช่นนั้นร่วมกัน มันจึงจบลง
  
46:05  การเห็นว่า
ธรรมชาติของอิทธิพลของผู้รู้
  
46:08  รวมทั้งองค์กรที่จัดตั้งขึ้น
ทางศาสนา หรืออะไรก็ตาม
  
46:12  เป็นการแบ่งแยก
 
46:18  และการยอมอยู่ในโอวาท
 
46:24  ภายใต้ระบบจัดตั้ง
ที่มีลำดับชั้นอำนาจ
  
46:29  ซึ่งเป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
ในโลก ด้วยเหตุนี้
  
46:31  ระบบเช่นนั้นจึงเป็นส่วนหนึ่ง
ของธรรมชาติการทำลายล้างในโลก
  
46:37  เมื่อเห็นความจริงนั้นแล้ว
ก็ละทิ้งมันเสีย
  
46:43  เราทำเช่นนั้นได้ไหม
 
46:46  เพื่อที่จะไม่มีพวกเราเลยสักคน
ขออภัยด้วย
  
46:50  ไม่มีพวกเราเลยสักคน ที่สังกัด
องค์กรทางจิตวิญญาณใดๆ ทั้งสิ้น
  
47:00  นั่นหมายถึง
องค์กรทางศาสนาทั้งหลาย
  
47:02  ทั้งคาทอลิก โปรเตสแตนต์ ฮินดู พุทธ
ไม่สังกัดอะไรเลย
  
47:12  การสังกัด
ทำให้เรารู้สึกมั่นคงปลอดภัย
  
47:19  ใช่ไหม เห็นได้ชัดอยู่แล้ว
 
47:22  แต่การสังกัด ย่อมนำความรู้สึก
ไม่มั่นคงปลอดภัยมาด้วยเสมอ
  
47:27  เพราะการสังกัดในตัวมันเอง
เป็นการแบ่งแยก
  
47:31  คุณมีคุรุของคุณ ครูผู้รู้ของคุณ
คุณเป็นคาทอลิก
  
47:33   
 
47:35  เป็นโปรเตสแตนต์
ส่วนคนอื่น ก็เป็นอย่างอื่น
  
47:39  พวกเขาจึงไม่เคยร่วมกันเลย
แม้ว่าทุกองค์กรทางศาสนาจะบอกว่า
  
47:43  เราล้วนทำงานร่วมกันเพื่อสัจธรรม
 
47:50  ฉะนั้น เป็นไปได้ไหม ที่เราจะรับฟัง
ฟังกันและกันถึงความจริงนี้
  
47:58  …เราจะทำให้การยอมรับผู้รู้
หมดสิ้นไปจากความคิดของเรา ได้ไหม
  
48:02   
 
48:07  อิทธิพลของผู้รู้ ในทางจิตใจ
 
48:10  และองค์กรทั้งหลายที่ก่อตั้งขึ้น
ห้อมล้อมมันก็จบสิ้นไปด้วย
  
48:16  แล้วจะเกิดอะไรขึ้นจากนั้น
 
48:22  ผมละทิ้งผู้รู้ เพราะคุณบอก
ให้ผมทิ้ง เช่นนั้นหรือ
  
48:31  เมื่อผมเห็นธรรมชาติที่ทำลายล้าง
ของสิ่งที่เรียกว่าองค์กร
  
48:37  ผมเห็นมันตามความเป็นจริง หรือเปล่า
หากเห็นเช่นนั้น ก็เห็นด้วยปัญญา
  
48:43  หรือแค่ยอมรับ
ด้วยความไม่ชัดเจน
  
48:47  ผมไม่ทราบว่าคุณตามทันไหม
 
48:50  ถ้าเราเห็นความจริง
 
48:52  การหยั่งเห็นความจริงนั่นเอง
คือปัญญา
  
48:57  และในปัญญานั้น
มีความมั่นคงปลอดภัย
  
49:01  ไม่ใช่มั่นคงปลอดภัย
อยู่ในเรื่องงมงาย ไร้สาระ
  
49:06  ไม่ทราบว่าคุณเห็นไหม
 
49:09  เราเข้าใจตรงกันไหม
 
49:15  ผมไม่ค่อยแน่ใจ
 
49:16  คุณช่วยบอกหน่อยว่า
เราเข้าใจตรงกันไหม
  
49:18   
 
49:20  (ผู้ฟัง) - ครับ /ค่ะ
K: ไม่ใช่เข้าใจในระดับถ้อยคำนะครับ
  
49:23  ซึ่งนั่นง่ายมาก
เพราะเราทุกคนพูดภาษาอังกฤษ
  
49:26  หรือภาษาฝรั่งเศส
หรือภาษาอะไรก็ตาม
  
49:28  การเข้าใจทางปัญญาความคิด
หรือทางถ้อยคำไม่ใช่การเข้าใจตรงกัน
  
49:34  จะเข้าใจตรงกัน ก็ต่อเมื่อ
เราเห็นความจริงด้วยกัน
  
49:48  คราวนี้ เราถามว่าเป็นไปได้ไหม
 
49:51  ที่เราจะมองดูความเป็นจริง
ในการถูกครอบงำของเรา
  
49:58  ไม่ใช่เห็นการถูกครอบงำ
อย่างเป็นแนวคิด
  
50:03  ข้อเท็จจริงที่ว่า เราเป็นชาวอังกฤษ
 
50:06  เป็นเยอรมัน อเมริกัน รัสเซีย
 
50:09  หรือฮินดู หรือชาวตะวันออก ฯลฯ
นั่นเป็นการถูกครอบงำอย่างหนึ่ง
  
50:12   
 
50:16  ยังมีอิทธิพลครอบงำ
ที่มาจากเหตุผลทางเศรษฐกิจ
  
50:23  ทางภูมิอากาศ อาหาร
เครื่องนุ่งห่ม และอื่นๆ ทางกายภาพ
  
50:27   
 
50:30  แต่มีอิทธิพลครอบงำ
ทางจิตใจมากมาย ด้วยเช่นกัน
  
50:39  เราเฝ้าดูมันตามที่เป็นจริงได้ไหม
 
50:46  เช่น ความกลัว
 
50:49  คุณมองดูความกลัวได้ไหม
 
50:58  หรือถ้าคุณทำไม่ได้ในขณะนี้
 
51:01  …ให้เราสังเกตดู
ความเจ็บปวดที่เราได้รับมา
  
51:04  มองดูบาดแผล
บาดแผลทางใจ ที่เราหมักหมมไว้
  
51:11  บาดแผลทางใจ
ที่ได้รับมา แต่วัยเยาว์
  
51:17  สังเกตดู อย่าวิเคราะห์มัน
 
51:22  นักจิตบำบัดทั้งหลาย
 
51:25  ขออภัยครับ
ผมหวังว่าคงไม่มีอยู่ในนี้นะ
  
51:28  นักจิตบำบัดจะสำรวจ
ตรวจสอบย้อนหลังไปในอดีต
  
51:32   
 
51:35  นั่นก็คือ การค้นหาสาเหตุ
ของบาดแผลทางใจ ที่เราได้รับมา
  
51:44  การสำรวจตรวจสอบ
วิเคราะห์ขบวนการทั้งหมดของอดีต
  
51:47   
 
51:54  ที่มักเรียกกันว่า
การวิเคราะห์ หรือจิตบำบัด
  
52:01  จากการค้นพบสาเหตุ จะช่วยได้ไหม
 
52:09  คุณใช้เวลาไปมากมาย อาจจะหลายปี
 
52:14  มันเป็นเกมส์
ที่เราทุกคนก็เล่นกัน
  
52:18  เพราะเราไม่อยากเผชิญกับความจริง
แต่กลับพูดว่า
  
52:20  "ขอให้เราตรวจสอบว่า
ความเป็นจริงนั้น เกิดขึ้นอย่างไร"
  
52:25  ผมไม่ทราบว่าคุณเข้าใจทั้งหมดนี้ไหม
 
52:32  ดังนั้น คุณจึงใช้พลังงานไปมากมาย
 
52:36  และอาจจะจ่ายเงินไปมากโข
 
52:40  เพื่อตรวจสอบอดีตให้ชัดเจน
 
52:46  หรือตรวจสอบด้วยตนเอง
ถ้าคุณสามารถทำได้
  
52:54  แต่เรากำลังบอกว่า
การวิเคราะห์แบบนั้น
  
52:59  ไม่เพียงแบ่งแยกเท่านั้น
เพราะผู้วิเคราะห์
  
53:05  คิดว่าเขาแยกต่าง
จากสิ่งที่เขากำลังวิเคราะห์อยู่
  
53:09  คุณตามทันไหม
 
53:15  ดังนั้น เขาจึงคงการแบ่งแยกเอาไว้
โดยการวิเคราะห์
  
53:22  แต่ความจริงที่ปรากฏอยู่ ก็คือ
ผู้วิเคราะห์คือสิ่งที่ถูกวิเคราะห์
  
53:29  ผมสงสัยว่า
คุณสังเกตเห็นตรงนี้ หรือไม่
  
53:32  ในทันทีที่เรารู้ว่า
 
53:35  ผู้วิเคราะห์
คือสิ่งที่ถูกวิเคราะห์
  
53:39  เพราะเมื่อคุณโกรธ
คุณคือความโกรธนั้น
  
53:46  ตรงนี้งงไหมว่า
ผู้สังเกตคือสิ่งที่ถูกสังเกต
  
53:49   
 
53:55  เมื่อเห็นอย่างนั้น เห็นสิ่งที่
เกิดขึ้นจริง ตามที่เป็นอยู่จริง
  
54:00  เมื่อนั้น
การวิเคราะห์ก็ไร้ความหมาย
  
54:03  มีอยู่แต่การสังเกต
ที่บริสุทธิ์เท่านั้น
  
54:05  สังเกตเห็นความเป็นจริง
ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้
  
54:08  ผมสงสัยว่า เราสังเกตเห็นหรือไม่
 
54:16  มันอาจจะยากสักหน่อย
เพราะพวกเราส่วนใหญ่
  
54:19  ต่างถูกครอบงำ
อยู่ในกระบวนการวิเคราะห์
  
54:24  ในการตรวจสอบตนเอง
 
54:28  ในการทบทวน สำรวจเข้าไปในตนเอง
 
54:31  เราเคยชินมาอย่างนั้น
เราถูกกำหนดมาให้ทำเช่นนั้น
  
54:34  บางทีถ้ามีการพูดถึงเรื่องใหม่ๆ
 
54:38  คุณอาจจะปฏิเสธ
หรือถอยห่างออกไป ในทันที
  
54:43  ฉะนั้น กรุณาสำรวจ
สังเกตดูปฏิกิริยานั้น
  
54:53  เรากำลังจะพูดว่า
 
54:56  เป็นไปได้ไหม
ที่จะสังเกตดูสิ่งที่เป็นจริง
  
55:00  ตามที่มันกำลังเกิดขึ้น
อยู่ในขณะนี้
  
55:06  สังเกตดูความโกรธ
ความริษยา ความรุนแรง
  
55:10  ความสุขเพลิดเพลิน
ความกลัว หรืออะไรก็ตาม
  
55:13  สังเกตดู ไม่วิเคราะห์มัน
 
55:19  เพียงแค่มองดูมัน
 
55:23  และในขณะที่สังเกตดูอยู่นั้น
 
55:26  ผู้สังเกต เพียงแค่สังเกตดู
ตามความเป็นจริง หรือเปล่า
  
55:31  หรือสังเกตเสมือนว่า
มันเป็นสิ่งที่แยกออกจากตัวเขา
  
55:34  หรือว่าเขา คือความเป็นจริงนั้น
 
55:37  ผมสงสัยว่าคุณเข้าใจไหม
 
55:41  ผมพูดชัดเจนไหม
 
55:45  คุณเข้าใจความแตกต่างไหม
 
55:48  พวกเราส่วนมากถูกครอบงำ
โดยความคิดที่ว่า
  
55:53  ผู้สังเกตนั้น
แตกต่างจากสิ่งที่ถูกสังเกต
  
56:00  ผมมีความโลภ ผมมีความรุนแรง
 
56:03   
 
56:09  ดังนั้นในขณะที่รุนแรงนั้น
ยังไม่มีการแบ่งแยกใดๆ
  
56:13  การแบ่งแยกเกิดขึ้นภายหลัง
เมื่อความคิดเข้าไปจับมันไว้
  
56:16  ความคิดแยกตัวมันเอง
ออกจากสิ่งที่เป็นอยู่จริง
  
56:21  ดังนั้น ผู้สังเกตก็คืออดีต
 
56:25  อดีตที่กำลังมองดูสภาพ
ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่จริงๆในขณะนี้
  
56:30  ผมสงสัย ว่าคุณเข้าใจทั้งหมดนี้ไหม
 
56:37  ฉะนั้น คุณสังเกตดู
สภาพที่เกิดขึ้นอยู่จริงๆ ได้ไหม
  
56:41  ขณะที่คุณโกรธ โศกศัลย์
โดดเดี่ยว หรืออะไรก็ตาม
  
56:45  สังเกตดูสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
โดยที่ผู้สังเกตไม่พูดว่า
  
56:50  "ผมแยกต่างหาก" แล้วดู
ความเป็นจริง ว่ามันแยกแตกต่างออกไป
  
56:53  คุณเข้าใจไหม
 
56:55  เขาตระหนักไหม
ว่าความเป็นจริง คือตัวเขาเอง
  
57:01  ไม่มีการแบ่งแยก
ระหว่างความเป็นจริงกับตัวเขา
  
57:06  ความเป็นจริงคือตัวเขาเอง
คุณมองเห็นไหม
  
57:10  ดังนั้น อะไรจะเกิดขึ้น
 
57:14  เมื่อความเป็นจริงปรากฏอยู่
 
57:20  คุณเข้าใจสิ่งที่ผมพูดไหม
 
57:24  เช่น สมองของผมถูกกำหนด
ให้มองดูความเป็นจริง
  
57:29  ซึ่งก็คือ ความโดดเดี่ยวอ้างว้าง
ขอยกตัวอย่าง
  
57:32  อย่าเลย เพราะเราเริ่มต้น
ด้วยเรื่องความเจ็บปวด จากวัยเยาว์
  
57:36  ขอให้สังเกตความเจ็บปวด
 
57:38  ผมเคยชินที่จะคิดว่า
 
57:44  ผมแตกต่างจากความเจ็บปวดนั้น
ได้ไหม
  
57:53  ดังนั้น การกระทำของผม
ต่อความเจ็บปวดนั้น
  
57:56  ก็จะเป็นการเก็บกด หรือการหลีกหนี
ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง
  
58:00  หรือสร้างแรงต่อต้าน
ความเจ็บปวดนั้นเอาไว้
  
58:05  เพื่อที่ผมจะไม่รู้สึก
เจ็บปวดอีกต่อไป
  
58:09  ดังนั้น ความเจ็บปวด
จึงทำให้ผมโดดเดี่ยว ยิ่งขึ้นๆ
  
58:15  หวาดกลัวยิ่งขึ้นๆ
 
58:17  ดังนั้น
การแบ่งแยกนี้เกิดขึ้นเพราะว่า
  
58:21  ผมคิดว่า ผมแตกต่างจาก
ความเจ็บปวดนั้น ใช่ไหม
  
58:27  คุณตามทันไหม
 
58:29  แต่ความเจ็บปวดนั้น คือผมเอง
 
58:32  "ตัวผม" คือภาพลักษณ์
ที่ผมสร้างขึ้นเกี่ยวกับตนเอง
  
58:36  ซึ่งคือความเจ็บปวด ใช่ไหม
 
58:40  ผมสงสัยว่าคุณเข้าใจทั้งหมดไหม
 
58:43  ต่อไปได้ไหม
คุณตามทันทั้งหมดไหม
  
58:48  ผมสร้างภาพลักษณ์ขึ้นมา
ผ่านการศึกษา
  
58:53  ผ่านครอบครัว ผ่านสังคม
 
58:56  ผ่านแนวคิดทางศาสนาเรื่องวิญญาณ
ผ่านความเป็นบุคคลที่แยกออกไป
  
59:01  ทั้งหมดนั้น
ผมสร้างภาพลักษณ์เกี่ยวกับตัวผม
  
59:05  แล้วคุณมาเหยียบย่ำภาพลักษณ์นั้น
ผมจึงบาดเจ็บ
  
59:12  จากนั้น ผมก็บอกว่า
ความเจ็บปวดนั้นไม่ใช่ผม
  
59:17  ผมต้องทำอะไรบางอย่าง
กับความเจ็บปวดนั้น
  
59:20  ผมจึงคงการแบ่งแยก
ระหว่างความเจ็บปวด กับ ตัวผมเอาไว้
  
59:26  แต่ความเป็นจริงก็คือ ภาพลักษณ์นั้น
คือตัวผม ที่ถูกทำให้เจ็บปวด
  
59:30  ใช่ไหม
 
59:32  ฉะนั้น ผมสังเกตดู
ความเป็นจริงนั้น ได้ไหม
  
59:39  สังเกตดูความเป็นจริงที่ว่า
ภาพลักษณ์นั้น คือตัวผมเอง
  
59:44  และตราบใด ที่ผมมีภาพลักษณ์
เกี่ยวกับ "ตัวผม"
  
59:47  ตราบนั้น ก็จะมีคนบางคน
มาเหยียบย่ำมัน
  
59:50  นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
 
59:57  เป็นไปได้ไหมที่จิตจะเป็นอิสระ
จากภาพลักษณ์
  
1:00:04  เพราะเรารู้ว่า
ตราบใดที่ภาพลักษณ์ ยังคงอยู่
  
1:00:09  คุณก็จะทำอะไรบางอย่างกับมัน
เอาเข็มมาทิ่มแทงมัน
  
1:00:15  ดังนั้น
มันย่อมได้รับความเจ็บปวด
  
1:00:19  และผลก็คือ การแยกตน
หวาดกลัว ต่อต้าน
  
1:00:24  สร้างกำแพงล้อมรอบตนเอง
 
1:00:28  ทั้งหมดนั้น
เกิดขึ้นเมื่อมีการแบ่งแยก
  
1:00:31  ระหว่างผู้สังเกต กับสิ่งที่
ถูกสังเกต ซึ่งคือความเจ็บปวด
  
1:00:38  ใช่ไหม
 
1:00:42  ได้โปรดเถิด
นี่ไม่ใช่เรื่องปัญญาความคิด
  
1:00:45  นี่เป็นเพียงการสังเกตตนเอง
อย่างเป็นปรกติธรรมดา
  
1:00:49  ที่เราได้เริ่มต้นมา
ด้วยการพูดถึง"ความรู้สึกตัว"
  
1:00:58  แล้วจะเกิดอะไรขึ้น จากนั้น
 
1:01:01  เมื่อผู้สังเกตคือ
สิ่งที่ถูกสังเกต
  
1:01:07  คุณเข้าใจไหม
ความเป็นจริงของมัน นะครับ
  
1:01:09  ไม่ใช่แนวคิดเกี่ยวกับมัน
แล้วอะไรจะเกิดขึ้น
  
1:01:12   
 
1:01:16  ผมเจ็บปวดมาตั้งแต่วัยเยาว์
 
1:01:21  จากโรงเรียน จากพ่อแม่
 
1:01:24  จากเด็กผู้ชาย
และเด็กผู้หญิงคนอื่นๆ
  
1:01:27  ผมถูกทำร้าย มีบาดแผลทางใจ
 
1:01:31  ผมแบกความเจ็บปวดนั้น
มาตลอดชีวิต
  
1:01:35  ซ่อนมันไว้
 
1:01:38  วิตกกังวล หวาดกลัว
 
1:01:43  และผมก็รู้ผลที่ตามมา
ของทั้งหมดนั้น
  
1:01:49  ขณะนี้ ผมเห็นว่า
ความเจ็บปวดนั้น จะยังคงอยู่
  
1:01:54  ตราบใดที่ภาพลักษณ์
ซึ่งผมสร้างขึ้น
  
1:01:57  สร้างขึ้นพร้อมๆ กับความเจ็บปวด
 
1:02:01  ตราบใด ที่มันยังคงอยู่
ตราบนั้น ย่อมมีความเจ็บปวด
  
1:02:06  ภาพลักษณ์นั้นคือตัวผม
 
1:02:10  ผมจะดูความเป็นจริงนั้นได้ไหม
 
1:02:13  ไม่ใช่ดูโดยผ่านแนวคิด
แต่ดูสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ
  
1:02:19  ว่าภาพลักษณ์ คือความเจ็บปวด
ภาพลักษณ์นั้น คือตัวผม
  
1:02:22   
 
1:02:24  ไม่ทราบว่าคุณเข้าใจไหม
 
1:02:26  เข้าใจไหมครับ
 
1:02:28  ขอให้เราเห็นตรงกัน อย่างน้อย
ในเรื่องหนึ่งนี้ คิดร่วมกันได้ไหม
  
1:02:35  แล้วจากนั้น จะเกิดอะไรขึ้น
 
1:02:39  ที่ผ่านมา ผมพยายาม ผู้สังเกตพยายาม
ทำอะไรบางอย่าง ต่อภาพลักษณ์
  
1:02:46  มาถึงตอนนี้ ไม่มีผู้สังเกต
 
1:02:49  ดังนั้น
เขาจึงทำอะไรกับมันไม่ได้เลย
  
1:02:52  คุณเข้าใจไหม
 
1:02:54  คุณเข้าใจแล้วใช่ไหม
ว่าเกิดอะไรขึ้น
  
1:02:59  ก่อนหน้านี้
ผู้สังเกตเองพยายามเก็บกดมันไว้
  
1:03:07  ควบคุมมันไว้ ไม่ให้รู้สึกเจ็บปวด
ปลีกแยกตนเอง
  
1:03:10  ต่อต้าน และอื่น ๆ
ใช้ความพยายามมากมายมหาศาล
  
1:03:13   
 
1:03:16  แต่ในเมื่อ ความเป็นจริงคือ
ผู้สังเกตเป็นสิ่งที่ถูกสังเกต
  
1:03:20   
 
1:03:24  จากนั้นเกิดอะไรขึ้น
 
1:03:28  ได้โปรดเถิด
คุณต้องการให้ผมบอกคุณหรือ
  
1:03:32  ถ้าอย่างนั้น เราก็ยังไปไม่ถึงไหน
สิ่งที่ผมบอกคุณก็ไม่มีความหมายอะไร
  
1:03:36  แต่ถ้าเรายังร่วมกันอยู่
 
1:03:40  ยังคิดร่วมกัน และมาถึงจุดนี้
 
1:03:44  แล้วคุณจะค้นพบด้วยตนเองว่า
 
1:03:49  ตราบใดที่คุณยังใช้ความพยายาม
 
1:03:53  ตราบนั้น ยังมีการแบ่งแยก
ใช่หรือเปล่า
  
1:03:59  ฉะนั้น ในการสังเกตบริสุทธิ์แท้ๆ
จะไม่มีความพยายามใดๆ
  
1:04:04  ดังนั้น สิ่งต่างๆ
 
1:04:07  ที่ก่อตัวขึ้นเป็นภาพลักษณ์
จึงเริ่มสลายไป
  
1:04:11   
 
1:04:22  นั่นแหละคือประเด็นสำคัญ
 
1:04:25  เราเริ่มต้นจาก "ความรู้สึกตัว"
 
1:04:31  และในคุณภาวะแห่งสมาธิ
ในความรู้ตัวนั้น
  
1:04:37  ทำให้เกิดความรู้สึกแห่งศาสนา
ที่เป็นหนึ่งเดียวกัน
  
1:04:45  มนุษย์จำต้องมี ความรู้สึก
เป็นหนึ่งเดียวกันอันใหญ่หลวงนี้
  
1:04:53  ซึ่งไม่อาจค้นพบได้
จากการแบ่งแยกเป็นชาติต่างๆ
  
1:04:56  หรือจากอะไรก็ตามทำนองนั้น
 
1:05:00  ฉะนั้น เราในฐานะที่เป็นมนุษย์
 
1:05:05  หลังจากได้ฟังมาร่วมชั่วโมงแล้ว
 
1:05:13  อย่างน้อยที่สุดให้มองเห็น
ความจริงอย่างหนึ่งด้วยกัน ได้ไหม
  
1:05:18  เมื่อเห็นความจริงร่วมกัน
ภาพลักษณ์ก็สลายไปสิ้นเชิง
  
1:05:30  เพื่อที่ เราผู้เป็นมนุษยชน
จะไม่บาดเจ็บทางจิตใจ อีกต่อไป
  
1:05:39  ในการคิดร่วมกันนี้มีนัยว่า
 
1:05:43  เราต่างเห็นในสิ่งเดียวกัน
 
1:05:49  ในเวลาเดียวกัน ในระดับเดียวกัน
ซึ่งหมายถึงความรัก
  
1:05:53   
 
1:05:55  คุณเข้าใจไหมครับ
 
1:06:01  ผมคิดว่า น่าจะพอแล้ว
สำหรับเช้าวันนี้ ได้ไหม
  
1:06:07  เราจะพบกันอีกครั้งพรุ่งนี้เช้า