Krishnamurti Subtitles

SA78D1 - แรงขับเคลื่อนของความเห็นแก่ตัวจบสิ้นลงได้ไหม

การสนทนาถามตอบต่อสาธารณชน ครั้งที่ 1
เมืองซาเน็น ประเทศสวิสเซอร์แลนด์
26



0:08  แรงขับเคลื่อนของความเห็นแก่ตัว
จบสิ้นลงได้ไหม
  
0:24  ผมเข้าใจว่า นี่เป็นการพูดคุยหรือการเสวนา
 
0:31  การสนทนาร่วมกันระหว่างเรา
 
0:39  ผมไม่ทราบว่า เรื่องอะไรหรือปัญหาใด
ที่คุณอยากจะพูดคุยร่วมกัน
  
0:51  ผมขอเสนอ แต่ไม่ใช่ว่าคุณจะต้องยอมรับ
 
1:00  ผมขอเสนอว่า
 
1:08  เราไม่ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
 
1:19  เราไม่ได้พยายามทำให้ใครเชื่อมั่นในเรื่องใด
 
1:26  เราไม่ได้ชักชวนหรือบังคับ
 
1:32  ไม่ได้ควบคุมการคิดของกันและกันอย่างแยบยล
 
1:47  ไม่ได้พยายามแสดงความฉลาดเฉลียวต่อกัน
 
1:54  ผมขอเสนอว่า ก่อนที่เราจะถามคำถาม
ถามปัญหา หรือประเด็นใดๆ
  
2:04  เราควรมีความชัดเจนในตนเอง
ว่าใครจะเป็นผู้ตอบคำถามนั้น
  
2:18  หรือในการสนทนา เสวนา พูดคุยค้นในประเด็น
 
2:23  เราค้นพบคำตอบ พบความเป็นจริง
ความจริงของเรื่อง ด้วยตนเอง
  
2:33  หรือเราคาดหวังให้คนอื่นตอบคำถามให้เรา
 
2:43  ถ้าหากคุณคาดหวังให้ผู้พูด
ตอบคำถามหรือประเด็นปัญหา
  
2:52  ผมเกรงว่าคุณจะผิดหวัง
 
2:56  แต่ทว่า หากเราสามารถพูดคุยค้นร่วมกัน
 
3:03  ค้นหาคำตอบได้ด้วยตัวเราเอง
 
3:08  ถ้าเช่นนั้น คำถามหรือประเด็นก็จะมีความหมาย
 
3:19  ดังนั้น ขอให้ระลึกไว้ในใจว่า
 
3:23  เราไม่ได้พยายามโน้มน้าวกันและกัน ให้เชื่อ
 
3:26  เราไม่ได้โฆษณาชวนเชื่อ
 
3:29  ไม่ได้พยายามชักจูงกัน
 
3:34  ให้เชื่อหรือไม่เชื่อ ให้ทำตามหรือไม่ทำตาม
 
3:39  ทว่าในการสนทนากัน เราจะค้นหาด้วยตัวเราเอง
 
3:52  ค้นให้พบทางออกจากปัญหาที่ถูกต้องจริงแท้
 
3:59  แล้วเช้านี้เราจะพูดคุยกันเรื่องอะไรดี
 
4:06  Q: มันชัดเจนว่า อุปสรรคขวางกั้น
การหยั่งเห็นที่สำคัญที่สุด
  
4:13  ที่เชื่อมโยงกับความเป็นจริงใดก็ตาม
คือเรารังเกียจสิ่งที่เราเห็น
  
4:19  เมื่อเห็นธรรมชาติของความเห็นแก่ตัวทำงาน
เรารังเกียจมัน
  
4:23  เราสนทนาเรื่องนี้ได้ไหม
 
4:27  K: ผมไม่ค่อยได้ยิน
 
4:31  ถ้าหากใครได้ยินชัดกว่า กรุณาบอกผมด้วย
 
4:34  Q: ผมพูดให้ดังขึ้นได้
 
4:36  มันชัดเจนว่า อุปสรรคใหญ่ที่สุด
 
4:41  ที่ขัดขวางการหยั่งเห็น
การเชื่อมโยงกับความเป็นจริง
  
4:47  คือเมื่อเห็นความเห็นแก่ตัวของเราทำงาน
 
4:51  เรารังเกียจสิ่งที่เราเห็นในความเห็นแก่ตัวนั้น
 
4:55  เราจะพิจารณาเรื่องนี้ได้ไหม
 
5:00  K: มีใครได้ยินชัดบ้าง
 
5:04  Q: ผมเข้าไปใกล้ๆ อีก ดีไหม
 
5:15  K: ลองถามอีกครั้ง
 
5:16  Q: ได้ครับ
K: ลองถามอีกครั้ง
  
5:17  Q: ได้ครับ
 
5:19  สำหรับผมมันชัดเจนว่า
หนึ่งในอุปสรรคใหญ่ที่สุดที่ขัดขวาง
  
5:26  การหยั่งเห็น การรู้แจ้ง
การสัมพันธ์กับความเป็นจริง
  
5:31  คือเมื่อเราเห็นความเป็นจริง
ของความเห็นแก่ตัวทำงาน
  
5:36  เห็นการยึดเอาตนเอง
เป็นศูนย์กลางความสำคัญ
  
5:38  เรารังเกียจสิ่งที่เราเห็น เราจึงไม่ค้นลงไป
 
5:44  K: ผมเข้าใจแล้ว
 
5:45  Q: มีอะไรที่ต้องมองให้เห็น
เราค้นเรื่องนี้ได้ไหม
  
5:50  K: ผู้ถามถามว่า ในขณะที่เราสังเกต
 
5:53  ถ้าผมพูดอะไรผิด ขอให้แก้ไขด้วย
 
6:01  ผู้ถามถามว่า ประเด็นหรือปัญหาใดก็ตาม
 
6:09  ที่เราจำต้องหยั่งเห็น ต้องเห็นแจ้ง
 
6:14  จะถูกควบคุมโดยจิต
 
6:19  มันจึงไม่ใช่การหยั่งเห็น ไม่ใช่การเห็นแจ้ง
 
6:24  แต่มันเป็นคุณสมบัติของจิตที่สามารถเห็นแจ้ง
 
6:30  ถามอย่างนี้ใช่ไหม ผมพูดผิดหรือเปล่า
 
6:33  Q: ก็ไม่เชิง
 
6:38  ประเด็นดูเหมือนว่า
มีธรรมชาติของความเห็นแก่ตัวของเรา
  
6:44  ซึ่งเมื่อเราสืบค้น
 
6:47  เมื่อเรามองดู เมื่อเรายอมรับ
 
6:50  ชั่วขณะที่ความเห็นแก่ตัวกำลังทำงาน
 
6:54  เราตื่นต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงๆ
 
7:00  เรารังเกียจสิ่งที่เราเห็น
แต่ละครั้งเราไม่ชอบสิ่งที่เราเห็น
  
7:05  บางครั้งเราสังเกตมันอย่างชัดเจน
 
7:08  แต่ปัญหาคือ
เมื่อเราไม่มองความเห็นแก่ตัวของเรา
  
7:14  ไม่มองการยึดตนเป็นศูนย์กลางให้ชัดเจน
 
7:18  K: เรามองไม่เห็นปัญหา
ไม่เห็นความเห็นแก่ตัวของเราอย่างชัดเจน
  
7:30  นี่เป็นหนึ่งในคำถาม ที่เราจะพูดคุยถกกัน
 
7:35  มีคําถามอื่นอีกไหม
 
7:38  Q: เมื่อเรารู้เกี่ยวกับผู้คน
เป็นไปได้ที่จะเกิดความเมตตาการุญ
  
7:46  หรือเกิดความเฉยชา ไม่แยแส
 
7:49  ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้
และความเมตตาการุญ คืออะไร
  
7:55  K: ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้
และความเมตตาการุญ คืออะไร
  
8:13  Q: เรามีแนวโน้มที่จะทำให้ทุกเรื่องที่เราได้ยิน
เป็นเรื่องของความคิด
  
8:18  เพราะอะไร เหตุใดเราจึงไม่เห็น
 
8:26  K: เราใช้ความคิดและเหตุผล
ใช้ความรู้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้ยิน
  
8:33  หรือเมื่อเราอ่านอะไร คำกล่าวประเภทใดก็ตาม
 
8:43  เราจะแปลความมันไปเป็น
กระบวนการของความคิดทันที
  
8:50  เพราะอะไรกระบวนการคิดจึงเกิดขึ้น
มันจะสิ้นสุดลงได้ไหม
  
9:00  Q: ผมเห็นว่า
ผมรู้ตัวถึงอิทธิพลกำหนดของผมได้
  
9:06  รู้ถึงอิทธิพลกำหนดบางอย่าง
 
9:09  แต่อิทธิพลกำหนดนั้น
ก็ยังเกิดขึ้นแล้วเกิดขึ้นอีก
  
9:13  ผมรู้สึกว่า แม้ผมจะรู้ตัวถึงมัน
ผมก็ยังถูกจับติดอยู่ในนั้น
  
9:17  ดูเหมือนผมไม่สามารถปลดเปลื้อง
ตนเองออกจากมันได้
  
9:22  K: เมื่อผมรู้ตัวหรือสังเกต
เห็นอิทธิพลกำหนดของผม
  
9:30  ผมคิดว่า ผมค่อนข้างจะเป็นอิสระจากมัน
 
9:33  แต่ผมก็หวนกลับไปหามันอีก
ครั้งแล้วครั้งเล่า
  
9:45  เรื่องที่จะคุยกันพอหรือยังสำหรับเช้านี้
 
9:53  คำถามใดในสามหรือสี่คำถามนี้
ที่เราควรสนทนากัน
  
10:02  สุภาพบุรุษผู้นั้นถามว่า เพราะอะไร
 
10:08  เราจึงไม่มีการเห็นแจ้งอันลึกล้ำ
ในความเห็นแก่ตัวของเรา แล้วเป็นอิสระจากมัน
  
10:17  ส่วนอีกคำถามหนึ่งคือ
 
10:21  อะไรคือความสัมพันธ์ระหว่าง
การรับรู้และความเมตตาการุญ
  
10:29  และมีคำถามอีกว่า
 
10:32  เพราะเหตุใด จิตจึงใช้ความคิด
ใช้เหตุผล ใช้ความรู้เสมอ
  
10:41  ฉะนั้นจึงเป็นการเลี่ยงหลบจากปัญหาสําคัญ
 
10:46  อีกคําถามคือ แม้เราจะรู้ตัวถึงอิทธิพลกำหนด
 
10:53  จนบางทีแรงถ่วงของอดีต
คลายลงบ้างเล็กน้อย
  
11:02  ทว่ามันก็ยังเกิดขึ้นอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า
 
11:07  คำถามใดในสี่คำถามนี้ ที่เราจะนำมาสืบค้น
 
11:23  ไม่มีคำตอบหรือ
 
11:25  Q: คำถามสุดท้าย
 
11:26  K: คำถามสุดท้าย
Q: คำถามสุดท้าย
  
11:27  K: คำถามสุดท้าย
 
11:30  คำถามอื่นๆ ก็อาจรวมอยู่ในคำถามสุดท้าย
 
11:33  ของบุคคลผู้นี้ได้
 
11:37  ซึ่งถามว่า
ดูเหมือนมันเกิดขึ้นบางครั้งบางครา
  
11:49  เมื่อเรารู้ตัว และเราสนใจ
 
11:53  ที่อิทธิพลกำหนดอันยาวนานหลายศตวรรษ
 
12:01  พังทลายลงได้บ้างบางครั้ง
 
12:04  แต่มันก็กลับมาแล้วกลับมาอีก
 
12:09  แล้วเราจะทำอย่างไรดี
 
12:12  เราสนทนาเรื่องนี้ดีไหม
 
12:13  Q: ได้ ได้เลย
เราสนทนาเรื่องนี้ดีไหม
  
12:14  Q: ได้ ได้เลย
 
12:17  K: ประการแรกสุด
หากเราสืบค้นเรื่องนี้อย่างจริงจัง
  
12:22  และผมหวังว่า
คุณต้องการจะสืบค้นอย่างจริงจัง
  
12:27  เราต้องชัดเจนยิ่ง
ไม่เพียงชัดเจนในคำถามเท่านั้น
  
12:34  แต่ชัดเจนในวิธีการเข้าสู่คำถามด้วย
 
12:40  วิธีการสําคัญอย่างใหญ่หลวง
 
12:43  บางทีอาจจะสำคัญยิ่งกว่าคำถาม
 
12:51  ผมขอพิจารณาเรื่องนี้สักเล็กน้อย
 
12:56  คำถามมีอยู่ว่า
 
12:59  เป็นไปได้หรือที่จะปลดปล่อยจิต
จากอิทธิพลกำหนด
  
13:04  เป็นไปได้หรือที่จิตจะปลดปล่อยตัวมันเอง
 
13:11  เป็นอิสระจากอิทธิพลกำหนดโดยสิ้นเชิง
ไม่ใช่แค่ครั้งคราว
  
13:17  นั่นคือคำถาม คุณจะเข้าสู่คำถามนี้อย่างไร
 
13:21  เพราะลักษณะวิธีการของคุณนั่นเอง
ที่จะทำให้ค้นพบทางออก
  
13:32  ถ้าคุณเข้าหาคำถาม
ด้วยข้อสรุปรวบยอดทางความคิด
  
13:39  คำตอบของคุณจะผิวเผิน ตื้นเขินอย่างยิ่ง
 
13:44  จริงไหม
 
13:47  แล้วจะอย่างไรดี
 
13:48  หรือคุณต้องการเป็นอิสระ
จากอิทธิพลกำหนดโดยสมบูรณ์
  
13:56  ดังนั้น ความปรารถนาของคุณ
ที่จะเป็นอิสระจากมัน
  
14:00  จึงเข้มข้นยิ่งกว่าตัวปัญหา
 
14:05  เป็นอย่างนั้นไหม
 
14:07  เรื่องนี้เป็นปัญหาสำหรับคุณบ้างไหม
 
14:19  เป็นปัญหาจริงๆ ประเด็นจริงๆ
เหมือนความต้องการอาหาร
  
14:30  หรือมันเป็นเพียงคำถามผิวเผิน
คำถามที่ถามผ่านๆ ชั่วคราว
  
14:39  ที่คุณถามขึ้นขณะที่คุณอยู่ที่นี่
 
14:43  แล้วจากนั้นคุณก็หลงลืมไปหมด แล้วพูดว่า
 
14:45  “ปีหน้าเราจะยกคำถามนี้ขึ้นมา
ให้คนอื่นตรวจสอบอีก”
  
14:54  ฉะนั้น คุณเข้าหาปัญหา
ด้วยปัญญาระดับความคิด ด้วยแนวคิดหรือ
  
15:03  คุณเข้าสู่ปัญหาด้วยความอยาก
ที่จะค้นหาคำตอบหรือ
  
15:10  ทั้งหมดนี้แสดงว่า
คุณกำหนดทิศทางในการสืบค้นของคุณ
  
15:22  คุณชี้นำบงการการสืบค้นของคุณ
 
15:26  คุณไม่ได้เป็นอิสระที่จะถามค้น
 
15:30  ฉะนั้น คุณไม่อาจค้นพบคำตอบได้เลย
 
15:33  เพราะคุณชี้นำไว้แล้ว
ว่าคำตอบควรจะเป็นอะไร
  
15:40  ดังนั้น ก่อนอื่น ถ้าคุณจริงจังอย่างแท้จริง
 
15:50  ขอให้ค้นหาว่า
คุณเข้าสู่ปัญหา เข้าสู่คำถามนี้อย่างไร
  
15:56  ซึ่งถามว่าเป็นไปได้ไหม
 
15:59  ที่จิตจะปลดปล่อยตัวมัน
จากอิทธิพลกำหนดได้โดยสิ้นเชิง
  
16:05  ไม่ใช่คิดว่าเป็นอิสระบางครั้งคราว
 
16:12  คุณเข้าไปหาคำถามนี้อย่างไร
 
16:27  วิธีการเข้าไปสู่ปัญหาเป็นเรื่องสำคัญ
 
16:35  และปัญหาก็เร่งด่วน
เรียกร้องต้องการอย่างยิ่ง
  
16:42  ปัญหาบอกว่า “คุณต้องหาทางออก”
 
16:49  ใช่ไหม
 
16:50  นั่นหมายถึง คุณเป็นห่วงเป็นใย
ใส่ใจอย่างลึกซึ้งต่อปัญหา
  
16:57  เหมือนที่คุณ
เรียกร้องต้องการเติมเต็มทางกามารมณ์
  
17:02  เหมือนที่คุณเรียกร้องต้องการเงิน
คุณหิวโหยอยากได้มัน
  
17:12  หรือคุณบอกว่า “ขอให้เราคุยเรื่องนี้กัน
อย่างสบายๆ ในขณะที่เราอยู่ที่นี่
  
17:18  หลังจากนั้น
เราจะลืมเรื่องน่ารังเกียจพวกนี้ให้หมด”
  
17:24  ดังนั้น ถ้าคุณจริงจัง
ขอให้เราสืบค้นร่วมกัน
  
17:33  ผมไม่สืบค้น คุณนั่นแหละสืบค้น
 
17:38  คุณถามค้น โดยไม่ยอมรับสิ่งใดเลย
 
17:44  ได้ไหม
 
17:46  คำว่า ‘อิทธิพลกำหนด’ เราหมายถึงอะไร
 
18:00  การศึกษาในบางวิถีเป็นอิทธิพลที่กำหนดเรา
 
18:05  การไปโรงเรียน ไปวิทยาลัย
มหาวิทยาลัย ถ้าคุณโชคดีหรือไม่ก็โชคร้าย
  
18:19  สิ่งแวดล้อมที่คุณอาศัยอยู่
ก็เป็นอิทธิพลกำหนดคุณ
  
18:29  อิทธิพลกำหนดทางเศรษฐกิจ การเมือง
 
18:34  อิทธิพลกำหนดทางวัฒนธรรม ศาสนา
 
18:39  สิ่งที่คุณกินก็เห็นได้ชัดว่าเป็นอิทธิพลกำหนด
 
18:47  ความสัมพันธ์ของคุณกับผู้อื่น
ใกล้ชิดหรือไม่ก็ตาม
  
18:53  ล้วนเป็นเหตุของอิทธิพลกำหนด
 
18:57  นี่คือสิ่งที่เราหมายถึง ‘อิทธิพลกำหนด’
 
19:03  นี่เป็นสิ่งที่คุณเห็น คุณเข้าใจไหม
 
19:08  ไม่ใช่เห็นโดยความคิด
แต่เห็นที่เป็นอยู่จริงๆ
  
19:11  นั่นคือลักษณะหรือธรรมชาติ
ของอิทธิพลกำหนด
  
19:15  เช่น ถ้าผู้พูดเกิดในประเทศอินเดีย
 
19:22  และถูกครอบงำโดยความเชื่องมงาย
 
19:26  โดยวัฒนธรรม โดยครอบครัว
โดยนั่นนี่สารพัด
  
19:32  อิทธิพลกำหนดนั้นเป็นส่วนหนึ่งของจิต
ส่วนหนึ่งของสมอง
  
19:38  เป็นส่วนหนึ่งของการกระทำ
ส่วนหนึ่งของปฏิกิริยาของเขา
  
19:45  เราสามารถรับรู้ทั้งหมดนี้ไหม
 
19:51  นั่นเป็นคำถามแรกสุด
 
19:55  ผมรับรู้ได้ไหมว่า ผมถูกเลี้ยงดูให้เป็นฮินดู
 
20:03  ที่มีทั้งความเชื่องมงาย
 
20:07  ทั้งคุณสมบัติที่เลอเลิศบางอย่าง เป็นต้น
 
20:15  เรารับรู้สภาพนั้นไหม
 
20:19  แล้วการรับรู้ สำนึกรู้ รู้ คุณหมายถึงอะไร
 
20:33  มันเป็นการเข้าใจโดยใช้ความคิด ใช้เหตุผลไหม
 
20:41  ผมเข้าใจอิทธิพลกำหนดของผม
โดยใช้ความคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล
  
20:48  ซึ่งหมายถึงเข้าใจทางถ้อยคำ
 
20:51  เมื่อเราใช้คำว่า ‘ทางถ้อยคำ’ เราหมายถึง
 
20:56  เมื่อคุณได้ยินคำกล่าว
ว่าคุณถูกอิทธิพลกำหนด
  
21:01  บางที คุณอาจจะไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน
 
21:04  คุณได้ยินคำกล่าวนั้น
แล้วทำให้คำกล่าวนั้นเป็นแนวคิด
  
21:13  ผมหวังว่าคุณตามทันที่พูดนี้
ทำคำกล่าวให้เป็นแนวคิด
  
21:17  แล้วมุ่งไปตามแนวคิดที่ว่า
คุณถูกอิทธิพลกำหนด
  
21:23  ทว่า แนวคิดไม่ใช่ความเป็นจริง ถูกไหม
 
21:32  แล้วคุณทำอะไร
 
21:35  เมื่อคุณพูดว่า “ผมรู้ว่าผมถูกอิทธิพลกำหนด”
 
21:39  มันเป็นแนวคิดที่คุณคุ้นเคยหรือ
 
21:46  หรือว่ามันคือความเป็นจริงจริงๆ
ที่คุณถูกอิทธิพลกำหนด
  
21:56  ให้เป็นคนคริสต์ เป็นชาวสวิส
 
21:58  เป็นฝรั่งเศส เป็นอังกฤษ หรืออะไรก็ตาม
 
22:02  รวมทั้งความงมงายทางศาสนา และอื่นๆ
 
22:12  ถ้าคุณรับรู้ หรือถ้าคุณรู้
ว่าคุณถูกอิทธิพลกำหนด
  
22:28  รู้ดังที่เป็นจริง
 
22:39  คุณรับรู้มันหรือ
โดยที่ไม่ใช่ความเป็นบุคคลเป็นผู้รับรู้
  
22:50  คุณเข้าใจไหม คุณเห็นความแตกต่างไหม
 
22:54  ผมสงสัยว่าคุณเห็นหรือเปล่า
 
22:59  เมื่อคุณหิว คุณพูดว่า “ฉันหิว”
 
23:24  ความหิวนั้นไม่ได้แยกแตกต่างจากคุณ
 
23:31  ถูกไหม
 
23:35  สิ่งที่เราพูดนั้นถูกไหม
 
23:40  ฉันหิว คุณจะไม่พูดว่า
“ฉันแยกแตกต่างจากความหิว”
  
23:45  คุณรู้สึกถึงความเป็นจริง แล้วพูดว่า “ฉันหิว”
 
23:50  ‘ตัวฉัน’ ไม่ได้แยกออกจากความหิว
 
23:59  นั่นเป็นความจริงไหม
 
24:02  ขอให้พูดคุยถกกัน สืบค้นกัน
ผมอาจจะผิดก็ได้
  
24:08  ขอให้ค้นหาความจริงของเรื่องนี้
 
24:11  เมื่อคุณโกรธ
ความโกรธแยกแตกต่างจากคุณหรือ
  
24:19  หรือชั่วขณะนั้น
คุณเป็นความโกรธ เป็นสภาวะนั้น ใช่ไหม
  
24:23  หลังจากนั้นคุณจึงพูดว่า “ฉันโกรธ”
 
24:29  นั่นคือ หลังจากนั้น
คุณแยกตัวคุณออกจากความโกรธ
  
24:38  ใช่ไหม
 
24:41  ดังนั้น คุณรับรู้หรือรู้ไหม
 
24:45  ตระหนักรู้ความเป็นจริงไหม
ว่าคุณคืออิทธิพลกำหนด
  
24:52  คุณคืออิทธิพลกำหนด
ไม่ใช่อิทธิพลกำหนดแยกแตกต่างจากคุณ
  
25:00  คุณเข้าใจคำถามไหม
 
25:03  ตรงนี้สำคัญจริงๆ
 
25:05  หากคุณไม่รังเกียจ
ขอให้สืบค้นด้วยความอดทน
  
25:09  เราจะพิจารณาด้วยวิธีต่างๆ กัน
ขอให้เคลื่อนไปในเรื่องเดียวนี้
  
25:14  เพื่อที่เราจะชัดเจนจริงๆ
 
25:19  ถ้าผมบอกตนเองว่า
“ผมแยกแตกต่างจากอิทธิพลกำหนดของผม”
  
25:25  ผมก็กระทำเกี่ยวกับอิทธิพลกำหนดนั้น
 
25:29  ผมก็ทำบางสิ่งบางอย่างต่ออิทธิพลกำหนด
 
25:32  ผมพยายามทำกับมัน
ผมพูดว่า “ผมต้องเป็นอิสระจากมัน”
  
25:36  ดังนั้นจึงเกิดความขัดแย้ง
ระหว่างผมและอิทธิพลกำหนด
  
25:42  คุณทำอย่างนั้นใช่ไหม
 
25:48  หรือว่าคุณเป็นอิทธิพลกำหนดนั้นเอง
 
25:56  คุณเข้าใจไหม
 
25:58  คุณไม่ได้แยกแตกต่างจากอิทธิพลกำหนด
 
26:01  เพราะคุณเป็นคริสเตียน
 
26:08  เป็นผลของสิ่งทั้งปวงที่ดำเนินอยู่รอบๆ ตัวคุณ
 
26:14  คุณคือผลพวงนั้น
 
26:17  คุณไม่ได้แยกแตกต่าง
จากอิทธิพลกำหนดของคุณ
  
26:28  นี่เป็นปัญหาที่ซับซ้อนยิ่ง
เราจึงควรสืบค้นให้ลุ่มลึก
  
26:34  การคิดของเราแต่ละคน
เป็นผลของอิทธิพลกำหนด
  
26:42  ใช่ไหม
 
26:44  ขอให้สนทนากัน
อย่ายอมรับอะไรก็ตามที่ผมพูด
  
26:49  นี่ไม่ใช่เป็นการพูดโดยผม
 
26:53  เราสนทนาร่วมกัน พูดคุยเสวนากัน
 
27:00  ‘ความเป็นฉัน’ ผู้สังเกตอิทธิพลกำหนด
 
27:05  ‘ความเป็นฉัน’ หรือผู้สังเกต
ที่คิดว่าเขากำลังสังเกต
  
27:11  กำลังมองดูเข้าไปในอิทธิพลกำหนด
 
27:16  ไม่ได้แยกแตกต่าง
เขาเป็นส่วนหนึ่งของอิทธิพลกำหนดนั้น
  
27:21  ถ้าเขาแตกต่าง คุณก็กระทำเชิงบวก
ต่ออิทธิพลกำหนดนั้น
  
27:28  คุณจะพูดว่า “ฉันต้องกำจัดมัน”
 
27:30  “ฉันต้องเป็นอิสระจากอิทธิพลกำหนด
ทางศาสนาของฉัน”
  
27:38  ฉันจะเป็นอิสระได้อย่างไร
เมื่อฉันเป็นอิสระแล้ว อะไรจะเกิดขึ้น
  
27:46  ฉันจะตกอยู่ในอิทธิพลกำหนดอื่นอีกไหม
 
27:51  ฉันจะทำอย่างไร แนวปฏิบัติใดที่ฉันต้องทำ
เพื่อกำจัดอิทธิพลกำหนด
  
27:57  ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเมื่อ ‘ฉัน หรือ ความเป็นฉัน’
หรือผู้สังเกตคิดว่า
  
28:03  “ฉันแยกแตกต่างจากอิทธิพลกำหนด”
 
28:08  ชัดเจนแล้วยังสำหรับคุณ
ไม่ใช่สำหรับผม เราพิจารณาต่อได้ไหม
  
28:16  สำหรับผม เรื่องนี้ชัดเจนมาตั้งแต่ผมอายุ 20 ปี
 
28:24  เชิญคุณผู้หญิง
 
28:27  Q: (ไม่ได้ยิน)
 
28:36  ไม่มีสิ่งใดให้ผนึกตนเข้าเป็นหนึ่งเดียว
 
28:41  K: ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่ปัญหาการผนึกตน
 
28:49  ผมไม่ได้ผนึกตนเข้าเป็นหนึ่งเดียว
กับอิทธิพลกำหนดของผม
  
28:55  Q: แต่ฉันรู้สึกว่า
 
28:58  เมื่อฉันรู้อิทธิพลกำหนดของฉัน
แล้วฉันไม่ได้เป็นอิทธิพลกำหนดนั้น
  
29:04  K: ไม่ใช่คุณผู้หญิง ไม่ใช่
 
29:08  ก่อนอื่น คุณรู้ไหมว่าคุณถูกอิทธิพลกำหนด
 
29:14  คุณหมายถึงอะไร
ที่คุณรู้ว่าคุณถูกอิทธิพลกำหนด
  
29:18  คุณรู้ว่า คุณเป็นคาทอลิก เป็นโปรเตสแตนท์
หรือเป็นสังคมนิยม เสรีนิยม
  
29:23  หรือสังกัดสถาบันนี้ สถาบันนั้น
 
29:27  รู้ว่าคุณเชื่อหรือไม่เชื่อ
 
29:30  Q: ฉันเห็นเพียงแค่ความเกี่ยวพันกัน
 
29:32  K: คุณคงต้องพูดให้ดังขึ้นอีกหน่อย
 
29:34  Q: ฉันเห็นเพียงแค่ความเกี่ยวพันที่เกิดขึ้น
 
29:38  เมื่อฉันทำสิ่งนั้น เมื่อฉันทำสิ่งนี้
เมื่อฉันกินนั่นนี่
  
29:46  K: คุณได้ยินที่เธอพูดหรือเปล่า
 
29:49  Q: ฉันพูดว่า
ฉันเห็นความเกี่ยวพันที่เกิดขึ้น...
  
29:57  เช่น ขณะที่ฉันกินนั่นกินนี่
แล้วเกิดความรู้สึกอะไรขึ้นบ้าง
  
30:04  K: ไม่ใช่
 
30:12  ขอให้พูดเป็นภาษาเยอรมัน จะมีใครแปลให้
 
30:17  Q: ฉันคิดว่าฉันก็แปลได้
 
30:21  K: แต่ผมไม่เข้าใจว่าคุณพูดอะไร
 
30:26  Q: ฉันเพียงแต่จะพูดว่า
ฉันไม่อาจพูดได้ว่า อะไรๆ ก็คือฉัน
  
30:32  เพราะฉันไม่อาจพูด
ฉันไม่อาจใช้ถ้อยคำ ว่าสิ่งนั้นคือฉัน
  
30:37  K: ผมเข้าใจแล้ว
เราไม่อาจใช้ถ้อยคำกับสิ่งที่เป็น ‘ฉัน’
  
30:47  เดี๋ยวก่อน ขอให้นั่งลง ผมเข้าใจคำถามแล้ว
 
30:52  ผมไม่สามารถใช้ถ้อยคำกับสิ่งที่เป็น ‘ฉัน’
 
30:58  คุณทำไม่ได้ ใช่ไหม
 
31:01  ‘ความเป็นฉัน’ ก็คือประสาทสัมผัสของคุณ
 
31:10  เดี๋ยวก่อน คุณผู้หญิงเดี๋ยวก่อน
 
31:14  ประสาทสัมผัสที่คุณผนึกตน
เข้ารวมเป็นหนึ่งเดียวกับมัน
  
31:24  หรือคุณเป็นของใครคนหนึ่ง
 
31:29  หรือคุณผนึกตัวคุณ
เข้ากับประเทศหนึ่งประเทศใด
  
31:39  ผนึกเข้ากับชื่อเรียก เข้ากับครอบครัว
 
31:46  เข้ากับคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
 
31:51  เข้ากับชุดข้อสรุป ชุดอุดมคติใดโดยเฉพาะ
 
31:58  ถ้าคุณไม่ได้เป็นสิ่งเหล่านั้นเลย
ไม่ได้เป็นสิ่งทั้งหลายนี้เลยจริงๆ
  
32:05  คุณก็เป็นอิสระจากอิทธิพลกำหนด
 
32:09  Q: (ไม่ได้ยิน)
 
32:17  ฉันมองเห็นด้วยว่า
เรื่องทั้งหมดนั้นเป็นความจริง
  
32:23  K: ผมไม่เข้าใจ
 
32:25  Q: ถ้าเธอดูโหราศาสตร์
เธอก็รู้สึกด้วยว่ามันเป็นจริง
  
32:29  K: อะไรนะ
 
32:30  Q: และมันก็เป็นความจริงด้วยว่า...
K: อะไรนะ
  
32:31  Q: และมันก็เป็นความจริงด้วยว่า...
 
32:33  (ไม่ได้ยิน)
 
32:46  K: ผมเกรงว่าผมไม่เข้าใจสิ่งที่คุณพูด
 
32:51  คุณไม่ได้อธิบายให้ชัดเจน
 
32:54  คุณต้องการจะพูดอะไรกันแน่
 
33:00  Q: ฉันเห็นว่า เราไม่ได้ใช้ถ้อยคำ
กับรากเหง้า กับต้นตอ
  
33:12  (ไม่ได้ยิน)
 
33:17  เราเพียงแค่เล่นอยู่ในบางสิ่งบางอย่าง
 
33:30  K: คุณเข้าใจไหมว่าเธอพูดอะไร...
 
33:31  Q: ผมคิดว่า เธอถามเกี่ยวกับอิทธิพล
กำหนดในจิตใต้สำนึกด้วย
  
33:35  K: อะไรนะ
 
33:36  Q: อิทธิพลกำหนดในจิตใต้สำนึก
K: อะไรนะ
  
33:36  Q: อิทธิพลกำหนดในจิตใต้สำนึก
 
33:38  มีอิทธิพลกำหนดจากภายนอก จากวัฒนธรรม
 
33:41  และมีอิทธิพลกำหนดในจิตใต้สำนึกด้วย
 
33:43  K: ผมไม่ได้ยิน
 
33:44  Q: อิทธิพลกำหนดที่อยู่ในจิตใต้สำนึก
 
33:48  Q: ที่ลึกยิ่งกว่าชื่อเรียก
ประเทศชาติ ครอบครัว
  
33:57  K: คุณหมายถึง คุณไม่ถูกอิทธิพลกำหนด
ในระดับจิตสำนึกรู้หรือ
  
34:04  แต่ลึกลงไปกว่านั้น คุณถูกกำหนด
คุณหมายถึงอย่างนั้นไหม
  
34:11  ถ้าคุณไม่รู้ว่าคุณหมายถึงอะไร
ผมก็ขอยอมแพ้
  
34:33  นี่เป็นเรื่องที่สำคัญมากจริงๆ
 
34:38  เพราะถ้าคุณสามารถ
เข้าใจคำถามนี้ได้อย่างลึกล้ำ
  
34:44  ว่าจิตจะเป็นอิสระจากอิทธิพลกำหนด
ได้โดยสิ้นเชิงจริงๆ ไหม
  
34:55  ถ้ามันเป็นอิสระได้
ปัญหาทั้งปวงของเรา อาจมีทางออก
  
35:03  ทั้งปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาสังคม
 
35:11  และที่เรียกว่า ปัญหาทางจิตใจ
 
35:14  ทั้งภายนอกและภายใน
 
35:17  โดยการทำความเข้าใจธรรมชาติและ
โครงสร้างทั้งหมดของอิทธิพลกำหนด
  
35:26  และเป็นอิสระจากมันอย่างสมบูรณ์
 
35:29  แล้วสิ่งทั้งปวงก็จะแตกต่างไปสิ้นเชิง
 
35:33  ดังนั้น สิ่งที่เรากำลังพูดกันก็คือ
 
35:37  เรารับรู้ รู้ รู้ตัว เราจำแนกออกไหม
ว่าเราถูกอิทธิพลกำหนด
  
35:44  นั่นเป็นสิ่งแรกสุด
 
35:46  ถ้าคุณถูกอิทธิพลกำหนด
และคุณพูดว่า “ใช่ ฉันถูกอิทธิพลกำหนด”
  
35:53  แล้ว ‘ความเป็นฉัน’ ที่พูดว่า
“ฉันถูกอิทธิพลกำหนด”
  
35:57  ‘ฉัน’ นั้นแยกแตกต่างจากอิทธิพลกำหนดหรือ
 
36:02  หรือทั้งสองนั้นเป็นสิ่งเดียวกัน
 
36:06  นี่เป็นคำถามสำคัญยิ่ง
เป็นพื้นฐานที่คุณจะต้องเข้าใจ
  
36:14  ‘ฉัน’ ผู้สังเกตที่บอกว่า
“ฉันถูกอิทธิพลกำหนด”
  
36:18  ผู้สังเกตนั้นไม่ได้แยกแตกต่าง
จากสิ่งที่เขาเรียกว่าอิทธิพลกำหนด
  
36:25  เขาเป็นอิทธิพลกำหนด
 
36:28  ปราศจากอิทธิพลกำหนดนั้น
‘คุณ’ เป็นอะไรหรือ
  
36:37  ถ้าคุณไม่มีชื่อเรียก ไม่ได้ผนึกตน
รวมเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายคุณ
  
36:43  ไม่มีกลุ่มก๊ก ไม่มีสัญชาติ ไม่มีความเชื่อ
ไม่มีศาสนา คุณเข้าใจไหม
  
36:47  ถ้าคุณทิ้งทั้งหมดนั้น
 
36:51  ‘ฉัน’ ที่ทั้งเห็นแก่ตัวและทะเยอทะยาน
จะอยู่ตรงไหน
  
36:55  มันถูกชะล้างไปสิ้น
 
36:59  นี่เป็นคำถามสำคัญยิ่งที่จะสืบค้น
ถ้าคุณจริงจัง
  
37:07  ถ้าคุณเห็นว่า
ถ้า ‘ฉัน’ แยกออกจากอิทธิพลกำหนด
  
37:15  แล้วคุณก็จะกระทำต่อมัน
 
37:18  การกระทำนี้คุณเรียกว่า การกระทำเชิงบวก
 
37:23  การกระทำเชิงบวกทำนองนี้
เป็นการดิ้นรนต่อสู้กับอิทธิพลกำหนด
  
37:30  เป็นการค้นหาสาเหตุของอิทธิพลกำหนด
 
37:35  ค้นหาว่าคุณถูกอิทธิพลกำหนดอยู่ลึกเพียงใด
คุณจะทำอะไรกับมันได้บ้างไหม
  
37:40  หรือไปหาใครบางคน
เพื่อถามเขาว่าควรจะทำเช่นไรดี
  
37:45  พวกเขาก็จะบอกคุณว่าทำอย่างไร
ซึ่งเป็นการฝึกปฏิบัติ
  
37:49  คุณก็รู้เรื่องทำนองนี้
 
37:51  แต่ทว่า ความเป็นจริงจริงๆ คือ
 
37:57  ตัวตนหรือความเป็นฉัน
ผู้ที่พูดว่า “ฉันถูกอิทธิพลกำหนด
  
38:01  และฉันต้องการเป็นอิสระจากมัน”
 
38:03  ความเป็นฉันนั้นก็ถูกอิทธิพลกำหนดด้วย
 
38:07  ฉะนั้น จึงมีแต่อิทธิพลกำหนดเท่านั้น
ไม่ใช่ “ฉันถูกอิทธิพลกำหนด”
  
38:14  คุณเข้าใจปัจจัยพื้นฐานนี้ไหม
 
38:23  ดังนั้น การต่อสู้ระหว่าง ‘ฉัน’
และ ‘อิทธิพลกำหนด’ จึงยุติลง
  
38:33  แล้วเราจึงตรวจสอบได้
โดยปราศจากการแบ่งแยก
  
38:39  คุณเข้าใจไหม เข้าใจจริงๆ ไหม
 
38:44  ว่าคุณเป็นส่วนหนึ่งของอิทธิพลกำหนดนั้น
 
38:49  คุณไม่ได้แยกแตกต่างจากอิทธิพลกำหนด
 
38:51  ดังนั้น
คุณจึงไม่อาจวิเคราะห์อิทธิพลกำหนดได้
  
38:59  ถูกไหม
 
39:03  ถ้าคุณวิเคราะห์ ก็จะมีผู้วิเคราะห์
และมีอิทธิพลกำหนด
  
39:09  คุณตามทันไหม
 
39:13  เมื่อคุณเห็นความจริง ที่เป็นอยู่จริงๆ
 
39:25  ว่าผู้วิเคราะห์คือสิ่งที่ถูกวิเคราะห์
 
39:27  ผมได้พูดคุยเรื่องนี้
 
39:32  เรื่องผู้วิเคราะห์และสิ่งที่ถูกวิเคราะห์
 
39:35  กับนักวิเคราะห์มืออาชีพหลายคน
 
39:41  พวกที่ฉลาดยอดเยี่ยมมาก
 
39:43  พวกเขาพูดทันทีว่า “เราไม่เข้าใจเรื่องนี้
 
39:46  ขอให้ไปพูดที่อื่นเถิด”
 
39:56  เพราะมันหมายถึง พวกเขาจะตกงาน
 
40:02  อย่าหัวเราะ
เราทุกคนต่างอยู่ในสถานะเดียวกัน
  
40:05  พวกเขาจะตกงาน
สูญเสียตำแหน่ง เสียเหยื่อ ผู้ป่วย
  
40:09  สูญเสียอะไรต่อมิอะไร
 
40:13  คำถามนี้จึงจริงจังอย่างใหญ่หลวง
 
40:23  ความขัดแย้งระหว่าง
ผู้วิเคราะห์และสิ่งที่ถูกวิเคราะห์
  
40:28  ทำให้ผู้วิเคราะห์
ซึ่งคือ ‘ความเป็นฉัน’ เข้มข้นขึ้น
  
40:37  ผู้วิเคราะห์เป็นอดีต
 
40:41  อดีตครอบงำผู้วิเคราะห์
 
40:46  ขอให้เข้าใจเรื่องนี้จริงๆ
 
40:49  อดีตครอบงำหรือเป็นอิทธิพลกำหนดผู้วิเคราะห์
 
40:54  แล้วผู้วิเคราะห์ก็พูดว่า
“ฉันจะวิเคราะห์อิทธิพลกำหนดของฉัน”
  
41:02  เขาก็จะวนเวียนอยู่ในวงล้อมนั้น
 
41:08  การตระหนักรู้ถึงความโง่เขลา
ความผิดพลาดล้มเหลวของการวิเคราะห์
  
41:17  คือการพังทลายการแบ่งแยกนี้
 
41:23  ซึ่งหมายถึง
อิทธิพลกำหนดคือ ‘ความเป็นฉัน’
  
41:29  อิทธิพลกำหนดไม่ได้อยู่ตรงโน้น มันอยู่ตรงนี้
 
41:36  จากนี้มีคำถามเกิดขึ้น
ซึ่งเป็นคำถามที่สำคัญจริงๆ
  
41:43  ถ้าเราคืออิทธิพลกำหนด
แล้วเราจะทำอย่างไร
  
41:48  คุณเข้าใจไหม
 
41:52  ผมไม่ได้โน้มน้าวคุณไปสู่อะไรเลย
อย่ายอมรับที่พูดนี้
  
41:55  ค้นให้พบความเป็นจริงด้วยตัวคุณเอง
 
42:00  Q: เพราะอะไรมันจึงแยกออกจากกัน
 
42:02  เพราะอะไร ผู้สังเกตจึงแยกตัวมัน
ออกจากอิทธิพลกำหนด
  
42:08  K: คุณพูดอะไรนะ
 
42:09  Q: เพราะอะไรผู้สังเกตจึงแยกตัวมันออกมา
 
42:13  K: เพราะอะไรผู้สังเกต ผู้วิเคราะห์
 
42:18  หรือผู้มีประสบการณ์ หรือผู้คิด
 
42:23  เพราะอะไรเขาจึงแยกตัวเขาออกมา
 
42:27  เพราะอะไรหรือ
 
42:32  Q: เพราะเขาต้องการเป็นอิสระจากมัน
 
42:36  K: เขาต้องการเป็นอิสระจากมัน
 
42:39  นั่นคือ ผู้วิเคราะห์ต้องการ
เป็นอิสระจากสิ่งที่เขาวิเคราะห์
  
42:45  ฉะนั้น เขาจึงแยกตัวออกมา
 
42:51  Q: เพื่อทำให้ตัวเขาเองเข้มแข็งขึ้น
มีพลังงานมากขึ้น
  
42:58  K: เท่านั้นเอง
 
42:59  ขอให้พิจารณาคำถามนี้
มันก็สำคัญด้วยเช่นกัน
  
43:04  เพราะอะไรจึงมีการแบ่งแยก
ระหว่างผู้วิเคราะห์และสิ่งที่ถูกวิเคราะห์
  
43:12  นี่เป็นเรื่องที่เรากำลังสนทนากัน
 
43:14  การแบ่งแยกระหว่างอิทธิพลกำหนด
และความเป็นฉันที่พูดว่า
  
43:19  “ฉันไม่ใช่อิทธิพลกำหนด
แต่ฉันจะปลดปล่อยตนเองจากมัน”
  
43:26  นั่นคือปัญหา
 
43:27  เรากำลังพูดคุยกันว่า
เหตุใดจึงมีการแบ่งแยกนี้
  
43:32  ให้สืบค้นต่อไปอีก
 
43:34  Q: ผู้วิเคราะห์เป็นอดีต
แต่ปฏิบัติการในปัจจุบัน
  
43:38  K: ใช่ แต่เหตุใดจึงมีการแบ่งแยก
 
43:48  Q: เพราะบทบาทหน้าที่ของมัน
คือการผนึกตน
  
43:51  K: อย่าโยนความคิดออกมา อย่าเดา
 
43:56  Q: ผู้วิเคราะห์ไม่ควรยอมรับ
อิทธิพลกำหนดของตนเองหรือ
  
44:05  K: ขอพูดถึงผู้วิเคราะห์
ในมุมมองที่ต่างออกไป
  
44:09  ผู้มีประสบการณ์
แตกต่างจากประสบการณ์หรือ
  
44:18  ผู้คิดแตกต่างจากความคิดหรือ
 
44:26  ถ้าไม่มีผู้คิด ก็ไม่มีความคิด
 
44:33  หรืออาจมีสภาวะที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง
 
44:37  เราจึงถามว่า
 
44:39  ผู้มีประสบการณ์ที่พูดว่า
“ฉันแตกต่างจากประสบการณ์
  
44:44  ฉันต้องมีประสบการณ์นั้น เพราะฉันแตกต่าง”
 
44:49  เราถามค้นว่า เหตุใดจึงมีการแบ่งแยก
 
44:54  ระหว่างผู้มีประสบการณ์ที่คิดว่า
“ฉันต้องมีประสบการณ์นั้นให้มากขึ้นอีก”
  
45:02  ประสบการณ์ทางเพศ ประสบการณ์ในอำนาจ
และประสบการณ์อื่นๆ
  
45:08  เหตุใดจึงมีการแบ่งแยกนี้
 
45:28  K: คุณรู้หรือ หรือคุณได้แต่เดา
 
45:36  ขอให้ค้นหา ให้ผมสืบค้นเรื่องนี้สักครู่
 
45:42  ถ้าคุณรู้ว่าเหตุใดจึงมีการแบ่งแยก
คุณรู้แบบเป็นข้อสรุปทางความคิดไหม
  
45:51  เป็นข้อโต้แย้ง
เป็นการพิจารณาด้วยเหตุผลหรือเปล่า
  
45:56  จากการใช้เหตุผลนั้น คุณบอกว่า
“ใช่ มันเป็นอย่างนั้น” หรือเปล่า
  
45:59  หรือคุณบอกว่า “ผมไม่ทราบจริงๆ”
 
46:06  Q: ดูเหมือนไม่มีช่องว่าง
 
46:11  ที่มองดูผู้สังเกตและสิ่งที่ถูกสังเกต
 
46:15  ดูเหมือนจะไม่มีช่องว่างในจิตสำนึก
 
46:19  K: ผมไม่ได้ยิน
 
46:22  Q: ดูเหมือนไม่มีช่องว่างระหว่าง...
 
46:23  K: อะไรนะ
Q: ดูเหมือนไม่มีช่องว่างระหว่าง...
  
46:24  K: อะไรนะ
 
46:25  Q: ดูเหมือนไม่มีช่องว่างในจิตสำนึก
 
46:30  Q: เมื่อฉันสังเกตสิ่งที่ถูกสังเกต
ดูเหมือนไม่มีช่องว่าง
  
46:36  K: ผมเข้าใจ
 
46:38  ดังนั้นโดยการสร้างช่องว่าง
ระหว่างผู้สังเกตและสิ่งที่ถูกสังเกต
  
46:44  ผมเข้าใจทั้งหมดแล้วหรือยัง
 
46:49  ผมเข้าใจไหม
 
46:51  คุณมีช่องว่าง
ระหว่างผู้สังเกตกับสิ่งที่ถูกสังเกต
  
46:55  คุณมีช่องว่าง เมื่อคุณพูดว่า
“ฉันต้องการประสบการณ์นั้น”
  
47:01  ช่องว่างก็เกิดขึ้น
 
47:04  Q: มันสำคัญนักหรือที่จะค้นหา
ทำไมคุณจึงต้องค้นหา
  
47:08  K: ผมจะบอกคุณว่า
เหตุใดคุณจึงต้องค้นหา
  
47:14  คุณถามผม หรือถามตัวคุณเอง
 
47:18  Q: ถามตัวเอง
 
47:19  K: ถ้าคุณถามตัวคุณเอง
Q: ถามตัวเอง
  
47:20  K: ถ้าคุณถามตัวคุณเอง
 
47:23  เพราะอะไรคุณจึงถามคำถามนี้
แค่อยากรู้อยากเห็นเท่านั้นหรือ
  
47:28  Q: เปล่า ผมกำลังคิด
 
47:29  K: แค่ให้เห็น
Q: เปล่า ผมกำลังคิด
  
47:29  K: แค่ให้เห็น
 
47:31  เมื่อมีการแบ่งแยก ย่อมมีความขัดแย้ง มีไหม
 
47:37  เมื่อมีการแบ่งแยกระหว่างอาหรับและยิว
 
47:42  ระหว่างคาทอลิกและโปรเตสแตนท์
 
47:44  ระหว่างไอร์แลนด์เหนือและอังกฤษ
 
47:47  การแบ่งแยกลักษณะใด รูปแบบใดก็ตาม
ทำให้ต้องขัดแย้ง
  
47:53  เมื่อมีการแบ่งแยก
 
47:55  ระหว่างผู้มีประสบการณ์ ผู้วิเคราะห์ ผู้คิด
 
48:00  กับความคิด กับประสบการณ์
 
48:02  ย่อมต้องมีความขัดแย้ง ใช่ไหม
 
48:05  มันเป็นกฎ
ที่ใดมีการแบ่งแยก ต้องมีความขัดแย้ง
  
48:13  ถ้ามีความขัดแย้งระหว่างผมกับภรรยา
 
48:17  มันหมายถึงไม่มีความสัมพันธ์กัน
 
48:22  มันมีความขัดแย้ง ใช่ไหม
 
48:28  Q: เมื่อวันก่อน คุณบอกเราว่า
เมื่อเราอยู่ในความทุกข์โศก
  
48:36  การพยายามหลีกหนีจากมัน
ไม่อาจนำไปสู่สัจจะ ทว่าแค่มองดูมัน
  
48:41  และคุณก็เตือนเราด้วยว่า
เมื่อเรามองดูความทุกข์โศก
  
48:53  อย่าได้ผนึกตัวเราเข้ากับความทุกข์โศกนั้น
 
48:56  สำหรับผม ดูเหมือนค่อนข้างเป็นไปไม่ได้
ที่จะแค่มองดูมัน
  
49:01  เมื่อผมมองดูความทุกข์โศกของผม
ผมมองด้วยส่วนหนึ่งของ ‘ความเป็นผม’
  
49:08  แล้วผมควรมองดูความทุกข์โศก
ด้วยส่วนใดของจิต
  
49:12  คุณเข้าใจคำถามไหม
 
49:13  K: นั่นเป็นเรื่องที่เรากำลังจะสืบค้น
 
49:16  เมื่อคุณใช้คำว่า ‘ความทุกข์โศก’
และ ‘ตัวฉันเอง’ ฉันแตกต่างจากความทุกข์โศก
  
49:26  ถ้ามีการแบ่งแยกนั้น
ฉันก็จะทำอะไรบางอย่างต่อความทุกข์โศก
  
49:30  ฉันกระทำต่อมัน ฉันบอกว่า
“ฉันต้องไม่เต็มไปด้วยความทุกข์โศก”
  
49:33  อะไรเป็นเหตุที่มาของความทุกข์โศกนั้น
แล้ววิเคราะห์
  
49:38  ทันทีที่ฉันเริ่มวิเคราะห์มัน
 
49:39  ฉันก็แยกตนเอง
ออกจากสิ่งที่ฉันกำลังวิเคราะห์
  
49:44  นี่ชัดเจนไหม
 
49:53  Q: ผมขอพูดอะไรบางอย่าง
 
50:00  มันง่ายมากที่จะมองดูการแสดงออก
 
50:05  ของอิทธิพลกำหนดของคุณเอง
 
50:09  ผมเป็นอย่างนี้ อย่างนั้น ผมจึงทำนี่ ทำนั่น
 
50:14  ตามที่ผมเข้าใจ
สิ่งที่เราพยายามทำกันที่นี่
  
50:19  คือผมพยายามมองดู
อิทธิพลกำหนดภายในตัวผมเอง
  
50:27  นั่นเป็นปัญหาที่ต่างออกไป
 
50:30  จิตสำนึกของผมพยายามรู้ตัวมันเอง
 
50:43  เช่น ผมถูกอิทธิพลกำหนดให้พูดอะไรบางอย่าง
 
50:45  K: คุณจะถามอะไรหรือ
เช่น ผมถูกอิทธิพลกำหนดให้พูดอะไรบางอย่าง
  
50:46  K: คุณจะถามอะไรหรือ
 
50:48  Q: เปล่า ผมแค่ชี้ให้เห็นว่า อิทธิพลกำหนด
 
50:51  ที่เราพยายามมองดูนั้น
ไม่ใช่การแสดงออกมาภายนอกจริงๆ
  
50:59  เรากำลังมองดูอิทธิพลกำหนดข้างในนี้
 
51:02  ถ้าคุณเห็นว่า ผมหมายถึงอะไร
 
51:04  K: ผมเกรงว่า มันเป็นการแสดงออกมาภายนอก
 
51:10  ถ้าผมเป็นมุสลิม และผมเกลียดฮินดู
 
51:15  อิทธิพลกำหนดของผมทำให้เกิดสงคราม
 
51:19  Q: แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา
 
51:21  K: มันเป็นปัญหาหนึ่ง
Q: แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา
  
51:21  K: มันเป็นปัญหาหนึ่ง
 
51:22  Q: นั่นเป็นผลที่ตามมา
ของการถูกอิทธิพลกำหนด
  
51:26  K: ถูกต้อง นั่นคือสิ่งที่ผมพูด
 
51:30  ผลพวงหนึ่งของการถูกอิทธิพลกำหนด
 
51:33  Q: ใช่ แต่รากเหง้าคือ
ผู้ที่ถูกอิทธิพลกำหนด
  
51:36  และเราพยายามมองดูผู้ที่ถูกอิทธิพลกำหนด
 
51:39  ไม่ใช่มองดูการแสดงออกของอิทธิพลกำหนด
 
51:43  K: ผมต้องไม่เพียงแต่สังเกต...
 
51:45  Q: ผมขอตั้งคำถามง่ายๆ
 
51:48  จิตสำนึกของผมสามารถ
รู้ตัวของมันเองได้ไหม
  
51:52  แล้วการรู้ตัวอย่างนั้น จะช่วยทำให้
เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สิ้นเชิงในตัวผมไหม
  
51:58  K: การรู้ตัวอย่างนั้น
จะช่วยให้เกิดอะไรหรือ
  
51:59  Q: เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สิ้นเชิงภายในผม
 
52:02  K: ใช่
Q: เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สิ้นเชิงภายในผม
  
52:02  K: ใช่
 
52:04  Q: นั่นเป็นสัญญาหรือเปล่า
 
52:06  K: เปล่า ไม่ใช่สัญญา
 
52:11  ผมจะให้สัญญาได้อย่างไร ว่าใครจะเป็นอิสระ
 
52:18  นั่นช่างเป็นคำถามที่ไร้สาระเหลือเชื่อ
 
52:22  Q: ถ้าเช่นนั้น มันก็เป็นคำตอบที่ไร้สาระ
 
52:25  K: อาจจะ
Q: ถ้าเช่นนั้น มันก็เป็นคำตอบที่ไร้สาระ
  
52:25  K: อาจจะ
 
52:30  Q: ผมขอพูดอะไรบางอย่าง
 
52:34  พวกเราหลายคนมากันที่นี่หลายปีมาแล้ว
 
52:36  K: ใช่ ผมเห็นด้วย
พวกเราหลายคนมากันที่นี่หลายปีมาแล้ว
  
52:37  K: ใช่ ผมเห็นด้วย
 
52:41  Q: หลายคนอาจได้ยินได้ฟัง
คุณมายี่สิบปีแล้ว
  
52:45  บางคนอาจจะฟังมาห้าสิบปี
 
52:48  ผมก็ยังอยู่ในภาวะเดียวกับวันแรกที่มาที่นี่
 
52:51  K: ใช่แล้ว
 
52:53  Q: ผมรู้สึกว่า
ในช่วงการพูดห้าครั้งที่ผ่านมา
  
52:58  คุณพูดประเด็นหนึ่งซ้ำแล้วซ้ำอีก
ด้วยถ้อยคำที่ต่างกัน
  
53:05  ขออภัยหากผมพูดยาวเกินไป
 
53:06  คุณเอามือปิดหน้า ผมรู้ว่าคุณทนไม่ไหว
 
53:08  ผมไม่ต้องการรบกวนหรือพยายามจะ...
 
53:14  คุณได้ยินที่ผมพูดไหม
 
53:15  ผมพูดให้ดังขึ้นอีกได้ ถ้าคุณไม่ได้ยิน
 
53:20  K: คุณสุภาพบุรุษพูดว่า
เขามาที่นี่หลายต่อหลายปี
  
53:25  ได้ยินคำอธิบายซ้ำแล้วซ้ำอีก
 
53:31  การวิเคราะห์หลายรูปแบบ
ได้ยินมาทั้งหมดนั้น
  
53:40  แล้วเขาก็บอกว่า หลายปีผ่านไป
 
53:44  เขาก็ยังคงอยู่ ณ จุดเดิม
เหมือนกับพวกเราส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ที่เดิม
  
53:51  Q: ผมขอพูดต่ออีกเล็กน้อย
 
53:53  เพราะนั่นไม่ใช่คำถามจริงๆ ของผม
เป็นแค่การเกริ่นนำ
  
53:58  ผมรู้สึกว่า คุณมีประเด็นที่ต้องการจะพูด
 
54:03  และคุณก็นำประเด็นนั้นมาอธิบาย
ด้วยวิธีการต่างๆ มากมาย
  
54:07  ไม่ว่าจะเป็น ผู้สังเกตและสิ่งที่ถูกสังเกต
ผู้คิดและความคิด
  
54:10  ผู้มีประสบการณ์และประสบการณ์ เป็นต้น
 
54:13  ทั้งหมดนั้นจริงๆ แล้วเป็นประเด็นเดียว
 
54:16  เมื่อคุณอธิบายด้วยถ้อยคำชุดหนึ่ง
ถ้าเราไม่เข้าใจประเด็นนั้น
  
54:22  เราก็จะไม่เข้าใจมันเลย
 
54:24  ถ้าคุณเปลี่ยนการอธิบายด้วยถ้อยคำชุดอื่น
 
54:27  คุณต้องการจะทำอะไรกันแน่
 
54:29  ผมไม่ตำหนิคุณ
ว่าเป็นเพราะคุณไม่อดทนกับเรา
  
54:33  เรามานั่งที่นี่ ถามคำถามเก่าๆ งี่เง่า เหมือนเดิม
ถามแล้วถามอีก
  
54:38  คุณต้องการจะพ้นออกไป
 
54:42  จากจุดที่คุณพิจารณามาถึงเมื่อสักครู่
 
54:46  ที่คุณชี้ให้เห็นว่า
จิตที่สังเกตอิทธิพลกำหนดอยู่นั้น
  
54:51  ตัวจิตเองก็ถูกอิทธิพลกำหนด มันจึงทำอะไรกับ
อิทธิพลกำหนดไม่ได้สักอย่าง
  
54:54  K: ก็เท่านั้นแหละ
 
54:56  Q: สำหรับผม ดูเหมือนจุดนี้
เป็นปมของปัญหาทั้งหมด
  
54:59  K: ใช่แล้ว
 
55:01  Q: ถ้าเราเห็นอย่างนั้นจริงๆ ในห้านาที
เราก็จะอยู่บนสรวงสวรรค์กับคุณ
  
55:05  สุขสงบ งดงาม ทำนองนั้น
 
55:08  ถ้าเราไม่เห็น วันพรุ่งนี้
เราก็จะกลับมาที่นี่
  
55:12  เพื่อการเสวนาที่ยังคงอยู่ ปีแล้วปีเล่า
 
55:16  คุณครับ ผมรู้สึกจริงๆ ว่าเราเป็นคนโง่มาก
 
55:20  เพราะคุณได้ทำบางสิ่งบางอย่าง
ด้วยตัวคุณเองอย่างประจักษ์ชัด
  
55:24  โดยไม่ต้องอาศัยการโน้มน้าว
การฝึกฝนชี้นำ หรือการกระตุ้น
  
55:29  แต่เราทำไม่ได้ โดยที่ไม่มีการโน้มน้าว
เคี่ยวเข็ญ และกระตุ้น
  
55:33  แต่ถ้าคุณอดทน...
 
55:35  ถ้าคุณต้องการโอกาสสำหรับประเด็นนี้จริงๆ
 
55:40  ซึ่งคุณได้เพียรพยายามมาห้าสิบปีแล้ว
 
55:43  เพื่อสื่อให้เราเข้าใจ
 
55:46  ผมเกรงว่า คุณควรจะอดทนให้มากกว่านี้
 
55:49  เพราะไม่มีประโยชน์
ที่จะไปต่อจากจุดที่คุณมาถึง
  
55:55  โดยที่ทึกทักว่าเราไปไกลถึงตรงนั้น
แต่เรายังไปไม่ถึง
  
55:59  K: แล้วผมควรจะทำอย่างไร
 
56:01  Q: มันเป็นปัญหาใหญ่ยิ่ง
ผมก็ไม่ทราบว่าคุณควรทำอย่างไร
  
56:04  แต่ผมรู้ว่า สิ่งที่คุณทำมา ไม่เกิดผล
 
56:06  เพราะปีหน้าก็จะยังเป็น
เหมือนเดิมที่เคยเป็นมา
  
56:10  เราบางคนอาจจะหลอกตัวเอง
ว่าเข้าใจบางสิ่งบางอย่างแล้ว
  
56:15  แต่จริงๆ แล้ว ยังไม่เข้าใจอะไรเลย
 
56:17  K: เราอยู่ตรงนี้กัน เรามาถึงทางตัน
 
56:27  คุณได้ยินผู้พูดมาสิบหรือสามสิบปีแล้ว
 
56:34  หรือสองปีหรือหนึ่งวัน
 
56:38  แต่เรายังไม่พบ ไม่บรรจบกันตรงหัวใจสำคัญ
 
56:46  ผู้พูดอาจอธิบายด้วยสิบวิธีต่างๆ กัน
 
56:54  ใช้ถ้อยคำชุดใหม่
 
56:57  พูดเป็นภาษาฝรั่งเศส ภาษาดัทช์
หรือภาษาใดก็ตาม
  
56:59  แต่ตรงแก่นแท้ เราแต่ละคนยังไม่เข้าใจ
 
57:07  และคุณมาถึงตรงนี้ ที่มันเป็นทางตัน
 
57:13  แล้วเราจะทำอย่างไรดี
 
57:23  ทำไมคุณจึงไม่เดินออกไป
 
57:32  ผมถามว่า ทำไมคุณไม่พูดว่า
“ขอโทษ เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้
  
57:35  สิ่งที่คุณพูดเหลวไหลไร้สาระ
พูดเพื่อประโยชน์อะไร” แล้วก็เดินออกไป
  
57:42  Q: ฉันรู้สึกว่า การอยู่ ณ ที่นี่ของคุณ
เป็นอิทธิพลกำหนด
  
57:49  K: คุณผู้หญิงพูดว่า “ฉันรู้สึกว่า
เราถูกอิทธิพลกำหนดจากการที่คุณอยู่ ณ ที่นี้”
  
57:52  ผมจะเดินออกไป
 
57:56  ผมคิดว่า เรากำลังเล่นกับคำพูด
 
57:58  คุณผู้หญิง ขอเวลาสักครู่ แค่ครู่เดียว
 
58:02  คุณสุภาพบุรุษคนนั้น ถามคำถามที่ดีมาก
 
58:08  ว่าเราฟังผู้พูดมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว
 
58:13  แต่เราไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย
 
58:15  อาจจะเปลี่ยนตรงนั้น
ตรงนี้บ้างเล็กน้อย
  
58:17  แต่จริงๆ แล้ว เราไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย
 
58:21  เราไม่ได้ปลดเปลื้องตัวเราเป็นอิสระ
จากอิทธิพลกำหนดโดยสิ้นเชิง
  
58:29  ถ้าหากมีการปลดปล่อย
จากอิทธิพลกำหนดโดยสิ้นเชิง มันก็จบ
  
58:35  เราจะมีชีวิตที่ต่างออกไป จะมี...
 
58:41  แล้วเราจะทำอย่างไรดี
 
58:46  การนั่งอยู่ด้วยกันเงียบๆ จะปลดปล่อยคุณ
จากอิทธิพลกำหนดไหม
  
58:52  ก็ไม่
 
58:54  การพูดคุยเกี่ยวกับมัน
ก็ไม่ได้ช่วยปลดปล่อยคุณ
  
58:57  แล้วเป็นความผิดของใคร
 
59:05  ตอบผมด้วยว่าเป็นความผิดพลาดของใคร
 
59:09  ไม่ใช่ความผิดพลาด
แต่เป็นความรับผิดชอบของใคร
  
59:13  คำว่า ‘รับผิดชอบ’ เกี่ยวโยงกับความรู้สึกผิด
 
59:17  เอาคำนั้น เอาความรู้สึกผิด
ออกไปจากความรับผิดชอบ
  
59:20  การไม่เปลี่ยนแปลง
เป็นความรับผิดชอบของใคร
  
59:24  Q: ของเราเอง
 
59:33  K: ถ้ามันเป็นความรับผิดชอบของคุณ
แล้วคุณจะทำอะไรกับมัน
  
59:39  Q: คุณรู้สึกกังขาไหมว่า
มันอาจมีส่วนที่เป็นความรับผิดชอบของคุณด้วย
  
59:41  K: ขอโทษ คุณพูดว่าอะไร
 
59:42  Q: คุณรู้สึกกังขาไหมว่า
มันอาจมีส่วนที่เป็นความรับผิดชอบของคุณ
  
59:46  K: ผมก็ถามตัวผมเอง ผมพูดกับคุณว่า...
 
59:50  Q: เห็นได้ชัดว่า
มันเป็นความรับผิดชอบร่วมกัน
  
59:52  K: มันเป็นความผิดพลาดของผมหรือ
 
59:54  ส่วนหนึ่งมันเป็นของผม ใช่ไหม...
ความไม่อดทนของผู้พูด
  
1:00:03  การที่ผู้พูดอยู่ ณ ที่นี้
 
1:00:07  การครอบงำของผู้พูด บุคลิกภาพของผู้พูด
 
1:00:16  ใช่ไหม
 
1:00:17  Q: วิธีที่คุณพูดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ
วิธีที่คุณถ่ายทอด
  
1:00:20  K: วิธีที่ผมพูด วิธีที่ผมถ่ายทอดเรื่องต่างๆ
 
1:00:24  ผมควรพูดอย่างไร
ช่วยบอกว่าผมควรถ่ายทอดอย่างไร
  
1:00:28  ผมยินดีที่จะเรียนรู้
 
1:00:33  Q: ผมคิดว่า เราใช้วิธีการที่ผิด
มันไม่ใช่ความผิดพลาด
  
1:00:36  แม้คล้ายกับว่า เรามองหาว่า
เป็นความผิดของใครที่เรามาที่นี่
  
1:00:42  ผมคิดว่า วิธีการเข้าไปสู่ปัญหา
ที่เคร่งเครียดน้อยลง
  
1:00:45  เป็นมิตรมากขึ้น...
 
1:00:48  K: คุณไม่ได้ช่วยผมเลย
 
1:00:51  คุณไม่ได้บอกอะไรเลย
 
1:00:52  Q: ผมบอกว่า ทำไมจึงทำให้มันเป็นปัญหา
 
1:00:55  K: ผมไม่ได้ทำให้มันเป็นปัญหา
Q: ผมบอกว่า ทำไมจึงทำให้มันเป็นปัญหา
  
1:00:55  K: ผมไม่ได้ทำให้มันเป็นปัญหา
 
1:00:57  Q: มันไม่ใช่ปัญหา
 
1:00:58  K: ผมไม่เคยพูด...
Q: มันไม่ใช่ปัญหา
  
1:00:59  K: ผมไม่เคยพูด...
 
1:01:00  ขอเวลาสักครู่ ผมไม่ได้สร้างปัญหา
 
1:01:05  Q: ไม่เป็นความจริงหรือ
ว่าการพูดทั้งหมดที่นี่เกี่ยวกับเรา
  
1:01:08  เป็นเพียงการพูดเกี่ยวกับ ‘ความเป็นฉัน’
 
1:01:09  และ ‘ความเป็นฉัน’ จริงๆ แล้ว ต้องสลายหายไป
ไม่เช่นนั้น สิ่งที่ถูกต้องไม่อาจเกิดขึ้น
  
1:01:14  K: ถูกทีเดียว
 
1:01:17  Q: ผู้ที่พูดกับ ‘ฉัน’ ควรสลายหายไป
 
1:01:20  ถึงแม้ว่าเขาผู้นั้น
จะเสนอแนะ
  
1:01:22  เขาไม่เคยเสนอแนะอะไรทำนองนั้นเลย
 
1:01:26  ในการพูดเสวนาเหล่านี้ จริงๆ แล้ว
เราไม่สามารถพูดอะไรเกี่ยวกับมันได้เลย
  
1:01:29  เพราะผู้ที่กำลังพูด
ต้องการที่จะมีพลังมากขึ้น
  
1:01:33  เขาจึงพูดแบบนั้น
 
1:01:34  K: ผมทราบ
เขาจึงพูดแบบนั้น
  
1:01:35  K: ผมทราบ
 
1:01:35  Q: เขาผู้นั้นควรหายไป
 
1:01:37  K: เราพูดตรงไปตรงมาได้ไหม
เราเป็นคนเห็นแก่ตัว ใช่ไหม
  
1:01:45  การกระทำ การปฏิบัติของเราเห็นแก่ตัว
 
1:01:45  Q: โดยสิ้นเชิงหรือ
การกระทำ การปฏิบัติของเราเห็นแก่ตัว
  
1:01:47  Q: โดยสิ้นเชิงหรือ
 
1:01:47  K: เดี๋ยว ผมพูดว่า เราเป็นคนเห็นแก่ตัว
 
1:01:50  ผมไม่ได้พูดว่า สิ้นเชิงหรือไม่สิ้นเชิง
 
1:01:52  Q: ฉันต้องการจะพูด สิ้นเชิงหรือไม่
 
1:01:56  K: อะไรนะ
 
1:02:00  คุณอาจไม่เห็นแก่ตัวเป็นบางครั้ง
 
1:02:05  Q: ทิ้งตรงนั้นไว้ แต่มาพูดถึงแรงขับ
 
1:02:09  แรงขับที่อยู่ภายในเรา แรงขับที่จะเป็น
ที่จะมี ที่ไม่ยอมสูญเสีย
  
1:02:17  K: การที่จะเป็น ที่จะมี
ที่จะครอบครองเป็นเจ้าของ
  
1:02:22  ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของความเห็นแก่ตัว
 
1:02:24  Q: และแรงขับนั้นขับเคลื่อนทั้งหมด
 
1:02:29  K: ได้ ถ้าคุณต้องการให้ผมพูดแบบนั้น
 
1:02:33  นั่นเป็นเนื้อแท้ของการดำรงอยู่ของเรา
 
1:02:38  นั่นเป็นแรงขับเคลื่อนทั้งหมด
ดังที่คุณเรียกมัน
  
1:02:42  แล้วเป็นไปได้ไหม
 
1:02:45  ผมเพียงถามโดยสงบ สุภาพอ่อนโยน
 
1:02:50  เป็นไปได้ไหมที่จะเป็นอิสระ จากแรงขับ
อันมหาศาลของความปรารถนาที่จะเป็น
  
1:02:59  ปรารถนาจะเปลี่ยนไปเป็น
ปรารถนาจะครอบครอง
  
1:03:05  ปรารถนาจะผนึกตนเข้าเป็นหนึ่งเดียว
กับบางสิ่งบางอย่าง
  
1:03:08  แรงขับทั้งปวงจะสิ้นสลายไปได้ไหม
 
1:03:12  Q: แรงขับนั้นขับไปในทิศทางของเกียร์ต่อไป
 
1:03:20  เกียร์ที่ทดสูงขึ้น จบลงที่เกียร์สูงกว่า
 
1:03:25  K: ไม่ ไม่ใช่
 
1:03:27  ตรงนั้นแหละที่คุณและผมแยกวงกัน
 
1:03:31  คุณยืนกรานที่จะไปให้สูงขึ้น
สูงขึ้น และสูงขึ้น
  
1:03:35  กล่อมเกลาให้ยิ่งบริสุทธิ์ขึ้น ดีขึ้น
 
1:03:38  ผมบอกว่า นั่นก็ยังเป็นแรงขับเดียวกัน
 
1:03:41  Q: ใช่เลย ฉันก็พูดเช่นนั้น
 
1:03:43  K: คุณผู้หญิง ขอให้แค่ฟังนะ
Q: ใช่เลย ฉันก็พูดเช่นนั้น
  
1:03:44  K: คุณผู้หญิง ขอให้แค่ฟังนะ
 
1:03:46  นั่นเป็นแรงขับเดียวกัน แม้จะทำให้บริสุทธิ์ขึ้น
แต่ก็ยังเป็นแรงขับเดิม
  
1:03:50  ผมจึงถามว่า แรงขับนั้น
ซึ่งเป็นเนื้อแท้ของตัวตน
  
1:03:55  ความเห็นแก่ตัว และอื่นๆ ทั้งหมด
จะจบลงได้ไหม
  
1:03:59  Q: ตรงจุดไหนที่คำถามนี้สะอาดหมดจด
 
1:04:03  K: อะไรนะ
 
1:04:04  Q: ที่จุดไหน ถอยกลับไปก้าวใด
ที่คำถามนั้นสะอาดหมดจด
  
1:04:15  สะอาดหมดจด
คุณหมายถึงอะไร ผมไม่เข้าใจ
  
1:04:19  Q: ทุกก้าวที่เราถอยกลับไปถามคำถาม
 
1:04:24  มีจุดไหนบ้างไหม
ที่คำถามสะอาดหมดจดจากแรงขับ
  
1:04:31  K: มี
 
1:04:38  มีจุดนั้น เมื่อแรงขับจบลงหมดจด
 
1:04:45  Q: โอเค
 
1:04:46  K: มันไม่โอเค
Q: โอเค
  
1:04:46  K: มันไม่โอเค
 
1:04:50  ไม่ คุณผู้หญิง ขอให้ฟังอย่างใส่ใจ
 
1:04:57  ถ้าคุณไม่ได้พยายามค้นหา
ว่าแรงขับจะจบสิ้นลงได้ไหม
  
1:05:05  คุณก็แค่โต้แย้ง
 
1:05:10  Q: แต่นั่นเป็นคำถามสำหรับฉัน
 
1:05:14  ฉันยังไม่จบ แรงขับและการสืบต่อของมัน
 
1:05:19  คำถามไม่ใช่แค่นั้น ฉันจะขอถามให้จบ
 
1:05:22  การจบลงของมัน
ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกันและกัน
  
1:05:28  K: อาจจะ
 
1:05:31  แต่เรารู้ความจำกัด
รู้การขยายตัว การแผ่ออกไปหรือ
  
1:05:39  เรารู้ขอบเขตของแรงขับนั้นหรือ
 
1:05:44  เพราะในแรงขับนั้น
มีความรุนแรงทุกรูปแบบ
  
1:05:49  เป็นต้น
 
1:05:53  แล้วผมก็ถามตัวผมเอง
หรือคุณก็ถามตัวคุณเอง
  
1:05:57  แรงขับนั้นจบลงได้ไหม
 
1:06:00  Q: ฉันถาม ใครกันที่ถามคำถามนี้
 
1:06:03  สำหรับฉัน ฉันรู้ว่าใครถามคำถามนี้
 
1:06:06  K: มันชัดเจน คุณถามตัวคุณเอง
 
1:06:10  Q: แรงขับนั้นถอยหลังกลับอย่างต่อเนื่อง
 
1:06:14  มันพยายามกระตุ้นความไม่สนใจ
 
1:06:18  การไม่เอาเรื่องส่วนตัวเข้ามา
ซึ่งไม่อยู่ในธรรมชาติของมัน
  
1:06:23  K: แล้วเราจะทำอย่างไรดี
 
1:06:27  คุณยืนกรานเรื่องหนึ่ง ใช่ไหม
 
1:06:34  ผมขอชี้ให้เห็นด้วยความเคารพ
 
1:06:37  ว่าคุณอาจจะไม่ได้ฟัง
คุณยึดอยู่กับความเห็นของคุณ
  
1:06:41  คุณอาจกล่าวโทษผม
ว่าผมยึดกับความเห็นของผม
  
1:06:44  Q: ไม่ ฉันชอบที่จะพูดว่า เราแยกวงกันตรงนี้
 
1:06:47  K: มีอะไรจะพูดไหม
 
1:06:49  Q: ขอพูดว่าอย่างนี้
ตรงนี้แหละที่เราแยกวงกัน
  
1:07:09  K: ขอให้ฟัง ผมพูดมาแล้ว
และผมจะพูดซ้ำอีก
  
1:07:16  ผมไม่ได้พยายามโน้มน้าวคุณ
ให้เชื่ออะไรทั้งสิ้น
  
1:07:22  ผมไม่ได้บอกคุณว่าให้ทำอะไร
 
1:07:25  ผมไม่ใช่คุรุของคุณ
หรือเป็นอะไรที่แอบแฝงแยบยล ทำนองนั้น
  
1:07:34  ผมพูดเพราะเราถูกอิทธิพลกำหนด
 
1:07:39  ปัญหาทั้งปวงเกิดขึ้นจากอิทธิพลกำหนด
แค่นั้นเอง
  
1:07:47  จากอิทธิพลกำหนดนั้น
มีแรงขับบางอย่าง – ใช้คำที่เธอใช้ –
  
1:07:55  แรงขับยิ่งทำให้เราแบ่งแยกมากขึ้นๆ
 
1:08:00  ยิ่งทำให้เรารุนแรงมากขึ้นๆ
 
1:08:03  เห็นได้ตามความเป็นจริง
ว่ามันกำลังเกิดขึ้นในโลก
  
1:08:07  เป็นต้น
 
1:08:10  ชายหรือหญิง ผู้ที่จริงจัง
 
1:08:13  จะพูดว่า “อิทธิพลกำหนดจะจบสิ้นลงได้ไหม”
เท่านั้นเอง
  
1:08:19  หรือว่าสภาพนี้จะดำเนินต่อไป
ในสภาวะที่ประณีตขึ้น
  
1:08:25  วิถีของความรุนแรงยิ่งแฝงเร้นแยบยลขึ้น
 
1:08:30  ความขัดแย้งยิ่งแยบยลเล่ห์กระเท่ห์ขึ้น
 
1:08:34  วิถีการแบ่งแยกที่ซ่อนเร้นประณีตขึ้น
 
1:08:39  เป็นต้น
 
1:08:43  แล้วมาลงเอยที่คุณผู้หญิงพูดเป็นสำคัญ
 
1:08:51  ผู้พูดพูดสำหรับตัวเขาเอง
 
1:08:55  ไม่ใช่ว่าคุณต้องยอมรับ อย่าได้ยอมรับ
 
1:08:58  เขาบอกว่า มีการจบลงที่สิ้นเชิงของแรงขับนี้
 
1:09:05  แรงขับซึ่งเป็นเนื้อแท้ของตัวตน
 
1:09:09  แล้วคุณก็จะพูดว่า
“มันจะแสดงตัวมันในชีวิตแต่ละวันอย่างไร”
  
1:09:14  ผมขอตอบว่า “ค้นหาสิ”
 
1:09:19  ค้นหาว่าคุณเห็นแก่ตัวเพียงใด
 
1:09:25  คุณเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง
สนใจแต่ตนเองเพียงใด
  
1:09:31  ทั้งเรื่องภายในและภายนอก ค้นให้พบ
 
1:09:38  มองให้เห็นว่า มันทำให้เกิดอันตราย
ต่อโลกอย่างใหญ่หลวงหรือเปล่า
  
1:09:44  เมื่อมนุษย์แต่ละคน
หมกมุ่นวุ่นวายอยู่กับตนเอง
  
1:09:51  ซึ่งเป็นอิทธิพลกำหนดของเรา
 
1:09:58  ถ้าคุณต้องการค้นหาว่า
เราจะมีชีวิตอยู่อย่างกลมกลืน
  
1:10:10  มีความสุข เปี่ยมด้วยสติปัญญาอันสูงสุด
ทั้งภายนอกและภายในได้ไหม
  
1:10:18  คุณต้องค้นหาด้วยตนเอง
ว่าคุณจะเป็นอิสระจากแรงขับนี้ได้ไหม
  
1:10:25  ซึ่งหมายถึง
คุณเต็มใจพร้อมจะให้เวลา ให้พลังงาน
  
1:10:30  คุณเข้าใจไหม
 
1:10:32  แม้ว่าคุณอาจฟังมาสิบปี
สิบห้าปี หรือหนึ่งสัปดาห์
  
1:10:39  เห็นได้ชัดว่า สภาวะที่กล่าวมานั้น ไม่มีอยู่
 
1:10:43  ด้วยสภาพนั้น คุณอาจจะบอกว่า ผมใช้คำผิด
 
1:10:49  คุณจะใช้คำพูดที่ต่างไปก็ได้
 
1:10:55  ต่อคำพูดนั้น เราบอกว่า
เราใช้ภาษาปกติที่ใช้ประจำวัน ทั่วๆ ไป
  
1:11:01  Q: แต่ทั้งหมดนั้นก็อยู่ในกลุ่มเดียวกัน
 
1:11:03  ทั้งหมดที่คุณพูด จนถึงตอนนี้
เป็นเรื่องเดียวกัน
  
1:11:08  เรื่องของการเห็น...
 
1:11:09  K: ใช่ครับ คุณผู้หญิง
เรื่องของการเห็น...
  
1:11:10  K: ใช่ครับ คุณผู้หญิง
 
1:11:12  แน่นอน มันเป็นเรื่องเดียวกัน
 
1:11:20  ทว่าการอธิบายเนื้อหาของเรื่อง
เราต้องใช้ถ้อยคำ
  
1:11:30  Q: ใช่ มันเป็นเนื้อหา
 
1:11:34  มุมมองที่หลากหลาย
มีใจความสำคัญเดียวกัน
  
1:11:37  K: ใช่ เป็นที่เข้าใจ
 
1:11:39  Q: แต่เราก็ตรวจสอบเนื้อหาได้ไม่จบไม่สิ้น
 
1:11:42  เป้าหมายของการตรวจสอบ
ไม่ได้แตกต่างไปจากเนื้อหาเลย
  
1:11:48  K: แล้วคุณจะทำอย่างไร
 
1:11:51  คุณรู้เนื้อหาดีเท่าที่ผมรู้
 
1:11:54  และเราส่วนใหญ่ก็รู้ว่าเนื้อหาคืออะไร
 
1:11:58  คือสิ่งที่เราแบกพาไว้ในถุงไปชั่วชีวิต
 
1:12:02  เราส่วนใหญ่ก็รู้
 
1:12:04  แล้วเหตุใดคุณหรือคนอื่น จึงไม่ทิ้งมันไป
 
1:12:13  Q: มันทำไม่ได้
 
1:12:15  K: ถ้าอย่างนั้นก็จบกัน คุณผู้หญิง
Q: มันทำไม่ได้
  
1:12:15  K: ถ้าอย่างนั้นก็จบกัน คุณผู้หญิง
 
1:12:18  Q: เพราะฉันทิ้งไป
ก็เพื่อจุดประสงค์เดียวกัน
  
1:12:25  Q: (ไม่ได้ยิน)
 
1:12:36  K: คุณบอกว่า ทำไม่ได้
เดี๋ยว พอก่อน
  
1:12:40  Q: ด้วยความพยายามอย่างใหญ่หลวง
ไม่ว่าจะปลอมแปลงมารูปแบบใด
  
1:12:46  เราเข้าไปในแผนทั้งหมดของ
การพัฒนาปรับปรุงตนเองก็ได้
  
1:12:50  เราทิ้งเรื่องนั้นไปเลย
 
1:12:53  K: ผมไม่ทราบว่าคุณพูดถึงอะไร
 
1:12:55  Q: ก็ได้ ช่างมัน
K: ผมไม่ทราบว่าคุณพูดถึงอะไร
  
1:12:55  Q: ก็ได้ ช่างมัน
 
1:12:56  แต่เมื่อคุณพูดกับฉันว่า
“ทำไมคุณไม่ปล่อยไป”
  
1:13:02  ก่อนอื่น ฉันจะบอกว่า
ฉันไม่สนใจที่จะพยายามปล่อยไป
  
1:13:09  เมื่อรองเท้ากัด ฉันก็ซื้อรองเท้าคู่ใหม่
 
1:13:12  K: คุณผู้หญิง นั่นไม่ใช่ประเด็น
 
1:13:12  Q: ฉันยังพูดไม่จบ
K: คุณผู้หญิง นั่นไม่ใช่ประเด็น
  
1:13:14  Q: ฉันยังพูดไม่จบ
 
1:13:14  มันเป็นเรื่องเดียวกัน มันเหมือนกัน
 
1:13:17  มันไร้สาระที่จะพูดกับใครสักคนว่า
“ให้ปล่อยมันไป”
  
1:13:21  ทำแบบนั้นไม่ได้
ทำไม่ได้ด้วยการพูดอย่างนั้น
  
1:13:25  ทุกคนที่นี่รู้ว่า
มันไม่เกิดขึ้นด้วยวิธีนั้น
  
1:13:29  Q: คุณรู้ได้อย่างไร
 
1:13:30  Q: ฉันไม่ทราบว่า อะไรที่ทำให้แตกต่างกัน
Q: คุณรู้ได้อย่างไร
  
1:13:30  Q: ฉันไม่ทราบว่า อะไรที่ทำให้แตกต่างกัน
 
1:13:33  เหตุใดมันจึงควรเกิดขึ้น
เมื่อใดมันควรเกิดขึ้น
  
1:13:37  ดูเหมือน
มันไม่มีสาเหตุใดๆ หรือเหตุผลใดๆ
  
1:13:40  ดูเหมือนมันไม่เกี่ยวข้องกันเลยกับสิ่งทั้งหมด
ที่เราปรารถนาหรืออยากได้
  
1:13:46  หรือมุ่งหมายให้เกิด
 
1:13:52  K: ถ้าอาหารบางอย่างไม่เหมาะกับผม
ผมก็เปลี่ยนอาหาร
  
1:13:58  Q: ฉันรู้ว่าเหตุใดฉันจึงเปลี่ยนอาหารการกิน
 
1:14:01  K: เดี๋ยว คุณผู้หญิง ผมไม่ได้จะ...
Q: ฉันรู้ว่าเหตุใดฉันจึงเปลี่ยนอาหารการกิน
  
1:14:02  K: เดี๋ยว คุณผู้หญิง ผมไม่ได้จะ...
 
1:14:03  Q: คุณต้องการจะเลี่ยงออกไปเสมอ
 
1:14:05  คุณต้องการออกไปให้พ้นเสมอ
และพูดเกี่ยวกับอาหาร
  
1:14:08  ราวกับการเปลี่ยนชนิดอาหารเป็นเรื่องสะอาด
เป็นการกระทำที่สะอาด มันไม่ใช่
  
1:14:17  K: คุณพูดว่า คุณเปลี่ยนแปลงไม่ได้
 
1:14:21  คุณไม่สามารถก่อให้เกิด
การเปลี่ยนแปลงใหม่ถึงรากเหง้า
  
1:14:26  มันเป็นไปไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ก็จบ
 
1:14:30  แล้วทำไมคุณจึงยังอยู่ที่นี่
 
1:14:33  Q: กลับบ้านเสีย
 
1:14:35  K: ไม่ใช่ กรุณาเถิด
Q: กลับบ้านเสีย
  
1:14:36  K: ไม่ใช่ กรุณาเถิด
 
1:14:38  Q: ฉันพบเห็นครั้งแล้วครั้งเล่า
ว่าคุณ ตัวคุณเอง พูดซ้ำจุดเดิม
  
1:14:46  ไม่มีอะไรที่คุณสามารถทำได้
 
1:14:49  ต่อเมื่อผู้สังเกตเป็นสิ่งที่ถูกสังเกตเท่านั้น
 
1:14:53  เมื่อนั้นจึงไม่มีผู้มีประสบการณ์
ก้าวแรกเป็นก้าวสุดท้าย
  
1:14:59  คุณเองนั่นแหละที่ชี้ตรงนี้
ครั้งแล้วครั้งเล่า
  
1:15:08  K: การสนทนาระหว่างเราจบแล้ว
 
1:15:17  Q: ผมขอถามคำถาม... (ไม่ได้ยิน)
 
1:15:31  ผมไม่เข้าใจอยู่เรื่องหนึ่ง
 
1:15:34  ผมถูกอิทธิพลกำหนด
โดยผู้คนของผม โดยจารีตของผม
  
1:15:39  เหตุใดผมจึงไม่ควรถูกอิทธิพลกำหนด
โดยผู้คน โดยจารีตต่อไปอีก
  
1:15:47  เดี๋ยวก่อน
 
1:15:49  ถ้าผมพยายามเป็นอิสระ
จากแรงถ่วงของอิทธิพลกำหนด
  
1:15:55  ผมกลัวว่า
นี่ก็ยังเป็นการหลอกลวงอีกแบบหนึ่ง
  
1:16:01  ผมถูกอิทธิพลกำหนดโดยจารีตของผม
 
1:16:04  แล้วผมพยายามที่จะเปิดใจต่อคนอื่นๆ
 
1:16:08  และถ้าจำเป็น
ผมก็พร้อมจะปรับเปลี่ยนเงื่อนไขของผม
  
1:16:17  ถ้าผมไม่รักคนของผม
แล้วผมจะรักคนอื่นได้อย่างไร
  
1:16:23  มันต้องไม่เป็นความรักที่มืดบอด
 
1:16:38  K: ผมไม่ทราบว่าเราพูดเรื่องอะไรกัน
คุณทราบไหม
  
1:16:50  Q: ฉันกลัวว่า เมื่อฉันเป็นอิสระอย่างสิ้นเชิง
จากอิทธิพลกำหนด จากแรงขับ
  
1:16:58  ฉันไม่รู้ว่า ฉันจะยังคงอยู่อีกหรือเปล่า
 
1:17:02  ฉันสูญเสียตัวฉัน แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับฉัน
 
1:17:06  K: ผู้ถามถามว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับฉัน
เมื่อฉันจบสิ้นแรงขับ
  
1:17:12  เรากำลังใช้ถ้อยคำชุดใหม่
 
1:17:17  จะเกิดอะไรขึ้น จะเป็นการจบสิ้นตัวฉันหรือ
 
1:17:23  อาจจะ
 
1:17:29  เห็นได้ชัดเจนว่า
 
1:17:34  ไม่ว่าเราจะพูดคุยกันมากแค่ไหน
มันไม่ได้ทำให้อะไรเกิดขึ้นเลย
  
1:17:44  คุณอาจโต้แย้งสิ่งที่ผมพูดได้อย่างหลักแหลม
 
1:17:48  หรือใช้ภาษาที่ต่างไป
พูดอธิบายต่างไป นี่และนั่น
  
1:17:53  แต่ดังที่เราพูดว่า
เราใช้ภาษาอังกฤษปกติธรรมดาทั่วไป
  
1:18:02  เรามาถึงจุดที่เห็นได้ชัดว่าถ้อยคำ
 
1:18:15  โดยที่รู้ว่าถ้อยคำไม่ใช่สิ่งๆ นั้น
 
1:18:19  ถ้อยคำและการพรรณนา
 
1:18:23  คำพรรณนาก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกพรรณนา
 
1:18:27  เมื่อรู้ทั้งหมดนั้น
เราก็เผชิญกับปัญหาพื้นฐาน
  
1:18:34  ก็คือ มนุษย์เราเห็นแก่ตัว จำกัดคับแคบ
 
1:18:44  ปัญหาทั้งมวลของเราเกิดขึ้น
จากสภาวะจิตอันจำกัดนั้น
  
1:18:55  เราทำลายล้างโลก ซึ่งเราทุกคนก็รู้ดี
 
1:19:01  แล้วเราควรทำอย่างไร
 
1:19:11  สำหรับผมโดยส่วนตัว ถ้าผมฟังก็เพียงพอแล้ว
 
1:19:23  ถ้าผมฟังอย่างถูกต้อง เที่ยงตรง ก็พอแล้ว
 
1:19:32  โดยส่วนตัว มีบางคนถามผมว่า
 
1:19:40  “เป็นไปได้ไหมที่จะจบสิ้นแรงขับของตัวตน”
 
1:19:49  ซึ่งคือความเห็นแก่ตัว และทั้งปวงนั้น
 
1:19:52  “คุณจะจบมันไหม
เป็นไปได้ไหมที่จะจบมันลง
  
1:19:55  แล้วคุณจะจบมันไหม ถ้าคุณค้นพบมัน”
 
1:19:57  ถ้าผมฟังมันเต็มที่ ดังที่ผมทำอยู่
 
1:20:01  ตัวคำกล่าวนั่นเองมีผลต่อผม
 
1:20:08  ผมไม่โต้แย้ง
ผมไม่พูดว่า “แสดงให้ผมเห็นสิ”
  
1:20:12  ผมได้เรียนรู้ศิลปะ ไม่ใช่เรียนรู้
แต่เป็นศิลปะของการฟัง
  
1:20:23  เท่านั้นแหละ ถ้าผมฟังอย่างแม่นยำ
เรื่องนั้นจะฝังอยู่ในตัวผม มันปฏิบัติการเอง
  
1:20:41  กี่โมงแล้ว
 
1:20:45  Q: บ่ายโมงห้าสิบ
 
1:20:50  K: เช้านี้เราพูดคุยกัน
หนึ่งชั่วโมงกับยี่สิบนาที
  
1:20:55  เราอยู่ตรงไหน
 
1:20:58  เดี๋ยวก่อน เรากำลังจะพูดว่า
 
1:21:00  “ฉันยังคงอยู่ที่จุดเดิม
เหมือนเมื่อสิบกว่าปีก่อน”
  
1:21:07  หรือที่เดิม ไม่ใช่สถานที่จริงทางกายภาพ
 
1:21:14  แต่ภายในตัวผม ผมไม่เคลื่อนไปไหนเลย
 
1:21:20  ผมยังคงเห็นแก่ตัวอย่างน่าเกลียด
ผมยังถูกผลักดันโดยมัน
  
1:21:30  นั่นคือสิ่งที่คุณได้เรียนรู้ในเช้านี้หรือ
 
1:21:33  คุณเรียนรู้อย่างนั้นใช่ไหม
 
1:21:36  ว่าเราเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างน่ากลัวที่สุด
 
1:21:40  ว่าความเห็นแก่ตัวนี้
เป็นแรงขับเคลื่อนในชีวิตเรา
  
1:21:46  และไม่มีคำตอบต่อเรื่องนี้
 
1:21:49  เราจะดำเนินต่อไปในวิถีของเรา
อย่างที่เราเคยทำมาล้านๆ ปี
  
1:21:54  ถ้าเป็นอย่างนั้น
เราก็ไม่สามารถสื่อใจถึงใจกันได้
  
1:22:01  เพราะผู้พูดบอกว่า
 
1:22:05  มันไม่เพียงเป็นเรื่องจำเป็นสูงสุด
ที่จะจบสิ้นแรงขับนี้
  
1:22:13  เพราะมันสร้างหายนะภัยในโลก
 
1:22:17  และเขายังพูดด้วยว่า มันสามารถทำได้
 
1:22:22  คุณจะฟังคำกล่าวนั้นไหม
 
1:22:27  หรือคุณพูดว่า “ไม่ฟัง เราฟังมาเป็นสิบๆ ปี
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย”
  
1:22:36  คุณจะฟังด้วยจิตใจ ด้วยหัวใจของคุณไหม
 
1:22:40  ฟังอะไรบางอย่าง...
หากคุณรักอะไรบางอย่าง คุณฟัง
  
1:22:46  ใช่ไหม
 
1:22:49  ถ้าคุณรักลูกตัวน้อยๆ ของคุณ คุณก็ฟังเขา
 
1:22:56  คุณจะฟังอย่างละเอียด รอบคอบ ถี่ถ้วนไหม
 
1:22:59  ฟังคำกล่าวนี้อย่างใส่ใจ
ด้วยความรักความอาทร
  
1:23:02  ว่าเราถูกขับเคลื่อนด้วยความเห็นแก่ตัว
 
1:23:07  แล้วคุณรับรู้มันไหม คุณจบสิ้นมันได้ไหม
 
1:23:11  ขอให้เราค้นหาด้วยกัน
ว่ามันเป็นไปได้ไหม
  
1:23:17  เท่านั้นแหละ
 
1:23:20  ถ้าคุณไม่ต้องการจบสิ้นมัน ก็ไม่เป็นไรเลย
 
1:23:25  ไม่มีใครขอร้องให้คุณจบมัน
 
1:23:29  ถ้านั่นเป็นวิถีที่คุณต้องการมีชีวิตอยู่
ทั้งความขัดแย้ง สงคราม
  
1:23:34  สิ่งทั้งปวงนี้เกิดขึ้นอยู่ในโลก
 
1:23:37  ความเชื่องมงายหนึ่งต่อต้านอีกความเชื่อหนึ่ง
ซึ่งเรียกกันว่าศาสนา
  
1:23:43  ประเทศหนึ่งต่อต้านอีกประเทศหนึ่ง
ถ้าคุณต้องการเช่นนั้น
  
1:23:46  มันก็เป็นเรื่องของคุณ กระโจนลงไปเลย
 
1:23:51  แต่ถ้าคุณบอกว่า “ทั้งหมดนั้นผิด
 
1:23:55  นั่นล้วนเป็นแรงขับของตัวตน
แล้วมีวิถีการดำเนินชีวิตที่แตกต่างไปไหม”
  
1:24:01  ผมบอกว่า เรามาพูดคุยเรื่องนี้ร่วมกัน
แค่นั้นเอง
  
1:24:10  ผมขออนุญาต