SA78D4 - การพยายามอยู่ตลอดเวลาทำลายสมอง
การสนทนาถามตอบต่อสาธารณชน ครั้งที่ 4
เมืองซาเน็น ประเทศสวิสเซอร์แลนด์
29
0:26  | การพยายามอยู่ตลอดเวลาทำลายสมอง |
0:30  | เราจะสนทนากันเรื่องอะไรดี |
0:31  | Q: ขอให้คุณพูดเกี่ยวกับพลังงาน |
เพื่อการเยียวยา ซึ่งเป็นพรอันประเสริฐ ได้ไหม | |
0:34  | K: ขอให้พูดเกี่ยวกับการเยียวยาโดยใช้มือ |
0:43  | Q: ไม่ใช่ แต่หมายถึงพรประเสริฐที่คุณพูดถึง |
0:49  | ในหนังสือของคุณเกี่ยวกับ |
พลังงานในการเยียวยา | |
0:50  | K: ไม่ใช่การวางมือเพื่อเยียวยา |
0:52  | แต่เป็นพรอันประเสริฐที่ผมพูดถึง |
0:57  | มีคำถามอื่นอีกไหม |
0:59  | Q: มันจะดีพอหรือ ถ้าผม ตัวผม เปลี่ยนแปลง |
1:03  | ในเมื่อคนอื่นๆ ที่มีอำนาจ |
เป็นผู้กำหนดเงื่อนไข | |
1:08  | เช่น ผมเป็นครู และผมต้องการสอนในวิธีของผม |
1:13  | แต่มันเป็นไปไม่ได้ในระยะยาว |
1:17  | แล้วผมจะทำอย่างไร จึงจะไม่ขัดแย้ง |
กับระบบของโรงเรียนโดยไม่จำเป็น | |
1:25  | K: ผมเป็นครู |
1:27  | ผมอยากจะเปลี่ยนแปลงตนเองจากรากฐาน |
1:33  | อีกทั้งในระยะยาว |
มันก็มีผลกระทบต่อนักเรียนน้อยมาก | |
1:40  | คุณถามอย่างนั้น ใช่ไหม |
1:42  | Q: ไม่ใช่ ระบบโรงเรียนคือปัญหา |
ผมอยากสอนในแบบที่ผมต้องการ | |
1:46  | |
1:47  | K: ระบบโรงเรียนทั้งหมด |
สภาพแวดล้อม เป็นอุปสรรคขัดขวาง | |
1:53  | เดี๋ยวก่อน ผมเข้าใจแล้ว |
1:55  | ผู้ถาม: ผมพูดภาษาฝรั่งเศส ได้ไหม |
1:59  | K: ได้ |
2:02  | Q: Je voudrais savoir ce que |
vous pensez | |
2:04  | des techniques de m้ditation |
bas้es sur la lumi่re, | |
2:08  | la musique, le verbe, etc. |
2:11  | K: คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับสมาธิ |
ที่เกิดขึ้นในดวงตาที่สาม | |
2:18  | รวมทั้งการฟังเสียงดนตรี และทั้งหมดนั้น |
2:25  | คุณผู้หญิงคนนั้นครับ |
2:27  | Q: ฉันมองเห็นว่า คุณมีชีวิตอยู่ฝั่งโน้น |
2:31  | และฉันอยากจะพบคุณอย่างยิ่ง แต่… |
2:39  | K: ผมมีอะไรบางอย่างที่อยากจะพูด |
กับคุณเป็นการส่วนตัว | |
2:44  | แต่ดูเหมือนค่อนข้างยาก |
ที่จะพูดกับคุณเพียงคนเดียว | |
2:48  | ผมขอพูดเรื่องนั้นก่อน |
แล้วมันจะได้จบไป | |
2:54  | ผมเคยพบผู้คนมากมายเป็นการส่วนตัว |
2:58  | ผมไม่ทราบว่า ตลอดชีวิต |
ผมพบคนมากี่พันคนแล้ว | |
3:02  | แต่เกรงว่า ผมทำอย่างนั้นไม่ได้อีกแล้ว |
3:06  | เพราะผมไม่มีเวลา |
3:08  | และหลังจากพูดไปชั่วโมงครึ่ง |
พลังงานของผมก็หมดไป | |
3:14  | ผมมีสิ่งอื่นๆ อีกที่ต้องทำ |
3:15  | ขออภัยด้วย |
ที่ผมจะไม่พบใครเป็นการส่วนตัวอีก | |
3:21  | Q: ถ้าเป็นอย่างนั้น คุณก็ไม่สนใจ |
3:27  | K: ผมหมายถึง |
คุณสุภาพสตรีพูดว่า “คุณไม่สนใจ” | |
3:33  | ขออภัย นั่นไม่ใช่เหตุผล |
3:37  | ถ้าผมไม่สนใจ ผมคงไม่มาพูดที่นี่ |
3:43  | Q: ขอให้คุณพูดเกี่ยวกับความเจ็บปวดทางกาย |
ความทุกข์ทรมานทางกายด้วย | |
3:49  | K: ขอให้คุณพูดเกี่ยวกับความเจ็บปวดทางกาย |
ความทุกข์ทรมานทางกายด้วย | |
3:57  | Q: (ไม่ได้ยิน) |
4:37  | K: ผมเกรงว่า ผมไม่เข้าใจสิ่งที่คุณพูด |
5:18  | Q: สุภาพบุรุษท่านนี้พูดว่า |
ในการพูดของคุณ | |
5:20  | มีสองปัจจัยที่แตกต่างกัน |
5:26  | ปัจจัยหนึ่งคือการสังเกต การรับรู้ |
และอีกปัจจัยหนึ่งคือ คำถามที่คุณถาม | |
5:32  | ซึ่งตัวคุณเองเรียกว่า |
“คำถามที่เป็นไปไม่ได้” | |
5:39  | K: ผมยังไม่เข้าใจคำถาม |
5:47  | Q: เขาถามว่า ความสัมพันธ์ |
ระหว่างปัจจัยทั้งสองคืออะไร | |
5:51  | K: สองปัจจัยนั้นคืออะไร |
5:53  | Q: การสังเกตและคำถามที่เป็นไปไม่ได้ |
5:59  | ซึ่งตัวคุณเองเรียกว่า |
“คำถามที่เป็นไปไม่ได้” | |
6:03  | Q: คำถามที่เป็นไปไม่ได้ |
6:11  | K: อย่าถามคำถามที่เป็นไปไม่ได้ |
ในวันที่อากาศร้อนอย่างนี้ | |
6:24  | ผมไม่เข้าใจคำถาม |
6:27  | เราอาจจะพิจารณาคำถามนี้ไปด้วย |
ในขณะที่เราสืบค้นในคำถามอื่นๆ | |
6:28  | |
6:34  | Q: (ไม่ได้ยิน) |
6:51  | Q: เธอถามว่า ความสงสัยหมายถึงอะไร |
6:55  | และเพราะเหตุใดเราจึงมีความทุกข์ |
เมื่อเราต้องเลือก | |
7:07  | K: ความสงสัยหมายถึงอะไร |
แล้วทำไมเราเป็นทุกข์เมื่อเราเลือก | |
7:16  | Q: ผมมีคำถามหนึ่งด้วย |
7:18  | บุคคลที่มีจิตบริสุทธิ์ |
7:23  | จะสื่อกับคนที่สมองถูกทำลายแล้ว |
สื่ออย่างใจถึงใจ | |
7:26  | ในเวลาเดียวกันและในระดับเดียวกัน ได้ไหม |
7:30  | K: เราจะสื่อใจถึงใจ |
กับมนุษย์คนอื่นได้อย่างไร | |
7:38  | ถ้าเรามีจิตค่อนข้างปกติ ส่วนอีกคนไม่ปกติ |
7:52  | สำหรับผม ดูเหมือนนั่นเป็นปัญหาของเรา |
8:08  | พวกคุณอาจมีจิตปกติ ส่วนผมอาจไม่ปกติ |
8:11  | ผมอาจจะ… |
นั่นแหละคือปัญหา | |
8:15  | แล้วเราจะสนทนากันเรื่องอะไร |
8:17  | นอกจากคำถามต่างๆ เกี่ยวกับสมาธิ |
8:24  | เรื่องการเห็นแสง เห็นนิมิต |
เรื่องสุขภาพกาย | |
8:32  | เราจะสื่อใจถึงใจ |
กับคนที่ไม่ค่อยเป็นโรคประสาท | |
8:37  | เหมือนอย่างตัวเรา ได้อย่างไร |
8:45  | Q: คุณก็ชอบหลีกเลี่ยง |
8:51  | K: คำถามคือ ผมชอบหลีกเลี่ยง จากอะไรหรือ |
8:55  | Q: จากฉัน |
8:56  | K: จากคุณ! |
Q: จากฉัน | |
9:02  | K: จากคุณ! |
9:10  | K: คุณสุภาพสตรีมีความเห็นอะไรไหม |
9:12  | Q: คนพวกนี้ช่างโง่เง่าเหลือเกิน! |
K: คุณสุภาพสตรีมีความเห็นอะไรไหม | |
9:13  | Q: คนพวกนี้ช่างโง่เง่าเหลือเกิน! |
9:17  | K: ผมเห็นด้วย |
9:33  | ผมขอถามคำถาม |
9:35  | ซึ่งอาจจะรวมคำถามอื่นๆ อยู่ด้วย |
9:43  | ผมไม่ได้ยัดเยียดคำถามให้คุณ |
9:48  | แต่ผมขอถาม ได้ไหม |
10:00  | ผมแน่ใจว่า |
เราต้องเคยถามตัวเราเองมาแล้ว | |
10:05  | ไม่ใช่ด้วยคำพูดที่ผมใช้ถาม |
10:10  | แต่เป็นคำถามที่เป็นพื้นฐานอย่างยิ่ง นั่นคือ |
10:16  | เราจะรักษาสมอง ที่ฟื้นฟูตัวมันเอง |
ให้ใหม่อยู่ตลอดเวลา ได้อย่างไร | |
10:27  | คุณเข้าใจคำถามไหม |
10:29  | สมองที่ไม่เสื่อมเลย |
10:38  | ไม่แก่ ไม่ชราหงำเงอะ |
10:41  | สมองที่ไม่ทำลายตัวมันเอง |
10:48  | ไม่ปล่อยให้ตัวมันเองถูกทำลาย |
10:55  | สมองที่มีคุณสมบัติ |
ของความอ่อนเยาว์อยู่เสมอ | |
11:12  | สมองนะ ไม่ใช่เรื่องทางเพศ |
และเรื่องทำนองนั้น | |
11:19  | คำถามนี้สำคัญไหม สำหรับพวกคุณ |
11:25  | ไม่ใช่สำคัญเพราะผมถาม |
11:29  | ผมถามว่ามันสำคัญไหม |
สำหรับเราแต่ละคน | |
11:33  | ว่าเป็นไปได้ไหม |
ในขณะที่เราแก่ตัวลง แก่ลง และแก่ลง | |
11:39  | ที่จะมีสมองซึ่งสดใหม่ |
11:51  | อ่อนเยาว์ ไม่ถูกทำลาย เป็นอิสระ |
11:55  | เพื่อจะมีจิตที่ว่องไว |
12:03  | ไม่เพียงว่องไวในความคิด |
แต่ในการกระทำด้วย | |
12:06  | ที่จริงแล้ว ความอ่อนเยาว์หมายถึง |
การตัดสินใจและการกระทำ | |
12:18  | มันอาจจะเป็นการตัดสินใจ |
และการกระทำที่โง่เง่า | |
12:22  | แต่เมื่อเราแก่ตัวลง จะมีเหตุปัจจัย |
ที่ทำให้สมองเสื่อมถอยเสมอ | |
12:32  | ไม่เพียงทางชีวภาพ กายภาพ เท่านั้น |
แต่ในตัวสมองด้วย | |
12:39  | เรื่องนี้มีใครสนใจบ้าง |
12:41  | สนใจที่จะค้นหาว่า เป็นไปได้ไหม |
12:53  | ที่จะมีสมองที่แม้จะเก่าแก่อย่างยิ่ง |
12:58  | อายุเป็นพัน เป็นล้านปี |
13:02  | สมองนั้นแม้ด้วยอายุขัย |
ด้วยประสบการณ์มากมาย | |
13:14  | ด้วยความรู้ ที่มันสั่งสมพอกพูนไว้หนักหน่วง |
13:19  | สมองนั้นจะ “เยาว์วัย” อยู่ตลอดกาล |
ได้ไหม ถ้าผมใช้คำนั้นได้ | |
13:26  | แล้วคุณจะเข้าใจว่าผมหมายถึงอะไร |
13:28  | ไม่ใช่เยาว์วัยในความหมาย |
ที่เป็นความโง่เขลา | |
13:35  | ไม่ใช่ในความหมายที่ทื่อทึบ หน่วงหนัก |
13:46  | เราจะเสวนากันเรื่องนั้น ดีไหม มีใครสนใจบ้าง |
13:54  | ผมไม่ได้ขอให้คุณสนใจ |
13:56  | ผมแค่ถาม |
เพราะคุณให้ผมตอบคำถามของคุณ | |
14:00  | ผมจึงถามคำถาม |
14:03  | Q: แม้ว่าร่างกายจะมีอายุมาก |
14:06  | K: แน่นอน แม้ว่าจะอายุมากแล้ว |
Q: แม้ว่าร่างกายจะมีอายุมาก | |
14:07  | K: แน่นอน แม้ว่าจะอายุมากแล้ว |
14:14  | เราสืบค้นในเรื่องนี้ได้ไหม |
14:20  | บางที ในการตอบ |
ในการสืบค้นเข้าสู่คำถามนั้น | |
14:27  | เราอาจจะตอบคำถามที่ว่า |
เราจะสื่อใจถึงใจกับมนุษย์คนอื่นได้อย่างไร | |
14:34  | คนที่หยาบกระด้าง โหดร้าย รุนแรง |
14:41  | เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง |
และค่อนข้างเป็นโรคจิตประสาท | |
14:49  | โดยที่ยอมรับว่า |
เราก็อาจจะเป็นโรคจิตประสาทด้วย | |
14:55  | นั่นคือคำถามที่ผมอยากจะถามคุณ |
14:59  | ถ้าคุณสนใจ เราจะสืบค้นเรื่องนี้ |
15:04  | Q: ได้เลย |
15:09  | Q: ฉันจะไม่เป็นโรคจิตประสาท |
ถ้าทุกคนไม่ประสาท | |
15:21  | K: เธอจะไม่เป็นโรคจิตประสาท |
ถ้าทุกคนรอบตัวเธอไม่เป็น | |
15:28  | แล้วจิตที่ยังมีความเป็นปกติอยู่บ้าง |
ไม่เป็นประสาทไปทั้งหมด | |
15:36  | จะสื่อใจถึงใจกับจิตหรือพฤติกรรม |
ของมนุษย์อย่างไร | |
15:41  | มนุษย์ซึ่งค่อนข้างเป็นโรคจิตประสาท |
นั่นคือคำถาม | |
15:44  | ขอให้ผมสืบค้นในเรื่องนี้ |
15:50  | อะไรทำให้สมอง ผมกำลังพูดถึงสมอง |
15:55  | ที่เก็บความทรงจำเอาไว้หลายพันปี |
16:04  | เข้าใจไหม |
16:08  | เพราะสมองของเราไม่อ่อนเยาว์ |
16:13  | เราสืบทอดความบากบั่นพยายาม |
หลายพันปีของมนุษย์ | |
16:23  | ทั้งการต่อสู้ดิ้นรน สิ่งที่เขาเผชิญมา |
ภยันตราย ความสุขเพลิดเพลิน | |
16:30  | ความยากลำบากทั้งมวล |
ในการดำรงอยู่มาหลายพันปี | |
16:36  | สมองของเราวิวัฒน์มา |
16:44  | แล้วผ่านวิวัฒนาการนั้น ผ่านกาลเวลา |
และความก้าวหน้า ทั้งหมดนั้น | |
16:49  | สมองรับเอาแรงต้านบางอย่าง |
อิสรภาพบางอย่างเข้ามา | |
16:58  | มันเรียนรู้ว่าอะไรที่เป็นอันตราย |
จะหลีกเลี่ยงอันตรายได้อย่างไร | |
17:04  | จะไล่ไขว่คว้าหาความสุขเพลินเพลินได้อย่างไร |
17:09  | ดังนั้น สมองของเรา |
สมองของคุณ ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้น | |
17:17  | มันเป็นผลพวงของหลายล้านปี |
17:23  | นั่นเห็นได้ชัด |
17:26  | ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านสมอง |
17:29  | ผมได้มองดูตัวผมเอง |
มองดูปรากฏการณ์ทั้งหมด | |
17:34  | สมองนั้นสามารถไหม |
17:45  | ที่จะปลดแอกตัวมันเองจากอดีต |
17:52  | เป็นอิสระจากแรงกดดัน แรงบีบบังคับทั้งปวง |
18:04  | เป็นอิสระจากการเสพติดทุกรูปแบบ ได้ไหม |
18:09  | ผมขอถามคำถามนั้น |
18:12  | ว่าอะไรหรือที่ทำลายสมอง |
18:20  | ขอให้เริ่มต้นอย่างนี้ |
18:26  | คุณลองค้นหา |
ขอให้เราพิจารณาเรื่องนี้ด้วยกัน | |
18:30  | บางทีผมอาจจะเป็นประสาทมากกว่าคุณ |
18:36  | หรือผมอาจจะเป็น |
สิ่งแปลกปลอมทางชีววิทยา | |
18:42  | ดังนั้น คุณต้องพิจารณาเรื่องนี้ด้วยกัน |
18:48  | ช่วยกันเผยให้เห็น |
ช่วยกันทำความเข้าใจคำถามนี้ | |
18:55  | อะไรหรือที่ทำลายสมอง |
19:09  | Q: ความเจ็บปวดทางจิตใจ |
19:13  | K: คุณสุภาพบุรุษบอกว่า |
“แรงกระตุ้นทางจิตใจ” | |
19:17  | ผมไม่ค่อยเข้าใจ |
19:19  | Q: ความเจ็บปวด |
19:26  | K: เป็นสิ่งพื้นฐานกว่านั้น |
อะไรที่ทำลายสมอง | |
19:37  | Q: ความขัดแย้งไม่ลงรอยกัน |
19:39  | K: ความไม่ลงรอยกัน แย้งกัน |
Q: ความขัดแย้งไม่ลงรอยกัน | |
19:40  | K: ความไม่ลงรอยกัน แย้งกัน |
19:43  | เมื่อมีความขัดแย้งไม่ลงรอยกัน |
19:46  | นั่นคือ เมื่อรู้สึกอย่างหนึ่ง |
แต่ทำสิ่งที่ตรงกันข้าม | |
19:52  | คิดอย่างหนึ่ง |
19:55  | แต่พูดอีกอย่าง ที่แตกต่าง |
จากสิ่งที่คุณคิดอย่างสิ้นเชิง | |
20:00  | หรือมีความอยาก |
ที่จะทำอะไรบางอย่าง มีแรงขับ | |
20:07  | แต่มีแรงขับที่ตรงข้ามกันด้วย |
20:12  | ใช่ไหม |
20:14  | คุณสุภาพบุรุษหมายถึงอย่างนั้น |
ถ้าผมเข้าใจถูกต้อง | |
20:20  | เกี่ยวกับความขัดแย้งไม่ลงรอย |
20:24  | อะไรเกิดขึ้นเมื่อมีภาวะที่แย้งกัน |
20:30  | อะไรเกิดขึ้นในชีวิตคุณ |
20:33  | ขอให้ใคร่ครวญเรื่องนี้ด้วยตัวคุณเอง |
20:37  | อะไรเกิดขึ้นเมื่อมีภาวะที่แย้งกัน |
มีสิ่งตรงข้ามกัน | |
20:44  | เมื่อความอยากหนึ่งต่อต้านอีกความอยากหนึ่ง |
อะไรเกิดขึ้น | |
20:52  | Q: เกิดความขัดแย้ง |
20:55  | K: ความขัดแย้งเกิดขึ้น |
20:58  | เราพูดได้ไหมว่า ความขัดแย้งไม่ว่ารูปแบบใด |
21:07  | ทั้งทางชีวภาพ และทางจิตใจ |
21:12  | หรือเมื่อความคิดหนึ่ง |
ต่อต้านคัดค้านอีกความคิดหนึ่ง | |
21:18  | ความขัดแย้งและการต่อสู้อันไม่สิ้นสุด |
ทั้งภายนอกและภายในนี้ | |
21:26  | เป็นเหตุปัจจัยหนึ่งที่ทำลายสมอง |
21:39  | อย่าได้เห็นด้วยกับผม |
21:43  | มันสำคัญที่ต้องค้นให้พบด้วยตัวเราเอง |
21:48  | ว่าสมองนี้ ซึ่งไม่ใช่เป็นสมองของคุณ |
21:56  | นั่นแหละ ขอให้เข้าใจตรงนี้ |
21:59  | มันไม่ใช่สมองของคุณ |
มันเป็นสมองของพวกเราทุกคน | |
22:03  | เพราะคุณคือผลพวงนับล้านปี |
ของสิ่งที่เรียกว่า วิวัฒนาการ | |
22:09  | ความก้าวหน้า การสั่งสมความรู้ |
ความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมาน | |
22:22  | Q: คุณพูดว่า… |
22:24  | รอสักครู่ |
กรุณารอสักครู่ | |
22:28  | – เสียงรถไฟ |
22:34  | Q: คุณเพิ่งพูดไปว่า |
22:37  | ในเรื่องนี้ เราอยู่ในสถานะเดียวกัน |
22:42  | แต่ผมเข้าใจว่า ผู้คนแตกต่างกันมาก |
22:47  | เมื่อคุณพูดว่า เป็นสมองของมวลมนุษยชาติ |
22:53  | ทุกคนอยู่ในสถานะเดียวกัน เมื่อตอนเราเกิด |
22:55  | ผมขอถามเรื่องส่วนตัวของคุณ |
22:58  | เมื่อตอนคุณเกิด คุณก็ถูกอิทธิพลกำหนด |
23:03  | หลังจากนั้น คุณปลดปล่อยตัวคุณเป็นอิสระ |
23:05  | K: ไม่ใช่ |
หลังจากนั้น คุณปลดปล่อยตัวคุณเป็นอิสระ | |
23:06  | K: ไม่ใช่ |
23:07  | Q: หรือมันเป็นสิ่งที่คุณทำหลังจากนั้น |
23:09  | K: อย่าเพิ่งถลำเข้าไปในรายละเอียด |
23:14  | ขอให้รอสักครู่ |
23:23  | คุณคิดว่า สมองของคุณ |
23:29  | ซึ่งเป็นผลของหลายพันปี |
23:35  | แตกต่างจากสมองของผม |
23:37  | ซึ่งเก่าแก่หลายพันปีเช่นกัน อย่างนั้นหรือ |
23:44  | หรือเราต่างก็เดินทางผ่าน |
ประตูแห่งประสบการณ์ | |
23:52  | ผ่านความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมาน |
ความดิ้นรนแสนสาหัส และอื่นๆ | |
24:01  | สมองนั้นอาจถูกอิทธิพลกำหนด |
อยู่ในวัฒนธรรมหนึ่ง | |
24:07  | ซึ่งแตกต่างจากอีกวัฒนธรรมหนึ่ง |
24:11  | มันอาจได้รับการศึกษา |
แตกต่างจากอีกวัฒนธรรมหนึ่ง | |
24:16  | ซึ่งมีการศึกษาของมันเอง |
24:19  | แต่คุณสมบัติพื้นฐานของสมองเป็นอย่างนั้น |
24:26  | สมองมีอายุหลายพันปี มันจึงเหมือนกัน |
คล้ายกัน ไม่มากก็น้อย | |
24:39  | แม้ว่าภายนอก มันจะแตกต่างกัน |
24:43  | เราจะค้นเข้าสู่เรื่องนี้ |
ขอให้ทิ้งเรื่องนั้นไว้ก่อน | |
24:47  | ผมถามตัวผมเอง |
และหวังว่าคุณก็ถามตัวคุณเองด้วย | |
24:54  | ว่าอะไรคือปัจจัยพื้นฐานที่ทำลายสมอง |
25:04  | ขอให้ลืมเสียว่า |
สมองของคุณและของผมเหมือนกัน | |
25:06  | ทิ้งเรื่องนั้นไว้ก่อน |
25:10  | เราพูดว่า สาเหตุหนึ่งของการทำลาย |
25:15  | คือความพยายามอันไม่สิ้นสุด |
ความขัดแย้ง การต่อสู้ดิ้นรน | |
25:26  | ซึ่งทำให้เกิดแรงบีบคั้นมหาศาลต่อสมอง |
25:30  | หรือคุณไม่เห็นด้วยกับที่พูดนี้ |
25:37  | คุณคิดว่าอย่างไร |
25:43  | Q: ผมไม่เห็นด้วย |
25:51  | Q: เขาพูดว่า เขาไม่เห็นด้วย |
25:53  | เขาคิดว่า สมองวิวัฒน์มา |
โดยผ่านการต่อสู้ดิ้นรน | |
25:56  | K: ใช่ วิวัฒน์มาระดับหนึ่ง |
ที่คุณสุภาพบุรุษพูด | |
26:02  | นี่คือข้อโต้แย้งทั่วๆ ไป |
สมองวิวัฒน์มาโดยผ่านการดิ้นรนต่อสู้ | |
26:09  | ผ่านความขัดแย้ง สงครามการสู้รบไม่สิ้นสุด |
ทั้งภายนอกและภายใน | |
26:19  | ผมไม่ได้พูดว่าสมองไม่ได้วิวัฒน์ |
แต่เราตั้งคำถาม | |
26:26  | คุณเข้าใจที่ผมพูดไหม |
26:28  | เราไม่ยอมรับง่ายๆ |
ว่ามันวิวัฒน์มาโดยผ่านการดิ้นรนต่อสู้ | |
26:35  | ผมต้องการจะค้นให้พบว่า |
นั่นเป็นความจริงไหม | |
26:41  | เราจึงถามตัวเราเองว่า |
26:46  | ถ้าการดิ้นรนต่อสู้ |
เป็นปัจจัยในการเติบโตของมัน | |
26:55  | แต่การดิ้นรนต่อสู้ก็ทำลายสมอง |
27:02  | โดยผ่านความตึงเครียดทางกายภาพ |
27:08  | แรงกดดันอันไม่สิ้นสุด |
แรงตึงเครียด ความวิตกกังวล | |
27:18  | ถ้าสิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดสมองที่ “ดีกว่า” |
27:25  | ผมใช้คำว่า “ดีกว่า” ในเครื่องหมายคำพูด |
27:33  | ผ่านมาแล้วหลายล้านปี |
เราประสบผลสำเร็จอะไรบ้าง | |
27:42  | เราอยู่ในสภาพอย่างไร |
27:48  | ถ้าสมองวิวัฒน์มา |
27:51  | แล้วกลายเป็นสิ่งงดงามพิเศษสุด น่าอัศจรรย์ |
27:57  | หลังจากที่ดิ้นรนต่อสู้มาหลายพันปี |
28:03  | แล้วเราเป็นอยู่อย่างไรในปัจจุบัน |
28:10  | นั่นคือบรรทัดฐานที่เราจะใช้ประเมิน ใช่ไหม |
28:17  | Q: ผมขอถามคำถามต่อไป |
ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น | |
28:22  | K: โอ้ พระเจ้า...... |
28:23  | Q: อย่างที่คุณพูดว่า สมองเรา |
28:27  | วิวัฒน์มาตลอดช่วงเวลาอันยาวนาน |
28:32  | วิวัฒน์มาด้วยกัน |
กับสมองของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ | |
28:37  | ดูเหมือนปัญหา |
ไม่ใช่อยู่ที่สมองของมนุษย์เหนือกว่า | |
28:45  | สมองของสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่นๆ |
28:50  | แต่ดูเหมือนมันโดดเด่นจนเป็นที่น่าสังเกต |
28:53  | ที่สมองมนุษย์มีคุณสมบัติแตกต่างไป |
จากสมองของสัตว์อื่นๆ | |
28:59  | K: ผมไม่… |
29:01  | Q: และมันมีความเจ็บปวดติดมาด้วย |
29:05  | มีความเป็นไปได้ที่จะเจ็บปวดและขัดแย้ง |
โดยผ่านความทรงจำของมัน | |
29:13  | โดยความอยากที่จะให้ |
ประสบการณ์ในอดีตเกิดขึ้นซ้ำอีก | |
29:17  | K: ขออภัย ผมไม่ได้ยิน |
29:20  | Q: ผมขอโทษ |
29:22  | ผมถามว่า อะไรคือความแตกต่าง |
ระหว่างสมองมนุษย์ | |
29:28  | และสมองอื่นๆ ซึ่งวิวัฒน์มาด้วยกัน |
29:34  | ดูเหมือนได้กลายเป็นนิสัยของสมองมนุษย์ |
29:37  | ที่จะได้รับความทุกข์ทรมานจากการคาดหวัง |
29:44  | จากความอยากได้ประสบการณ์ในอดีตซ้ำอีก |
29:49  | แล้วผมก็สงสัยว่า เราจะแยกความแตกต่าง |
29:55  | ระหว่างสมองมนุษย์ |
ซึ่งดูเหมือนมีลักษณะเฉพาะ | |
30:00  | ออกจากสมองอื่นๆ ได้อย่างไร |
30:03  | K: ผมขอให้ |
30:07  | เราคำนึงถึงสมองอย่างที่มันเป็น |
– อย่างที่เราเป็น | |
30:14  | ไม่พูดว่า เราแตกต่างจากสัตว์หรือเปล่า |
30:17  | เราแตกต่างจากเด็กทารกหรือเปล่า |
30:21  | หรือแตกต่างจากสัตว์ที่ไม่ธรรมดา |
อย่างปลาวาฬ เป็นต้น | |
30:29  | เราพูดถึงสมองที่เรามีอยู่ตอนนี้ |
30:36  | ไม่ใช่สมองของสัตว์ |
แต่สมองอย่างที่เราเป็นอยู่ขณะนี้ | |
30:42  | เราพูดว่า ถ้าโดยผ่านการดิ้นรน |
ผ่านความขัดแย้ง ผ่านเวลาเป็นพันปี | |
30:52  | มนุษย์สร้างสมองอันพิเศษสุดนี้ขึ้น |
31:00  | อะไรคือสิ่งที่เป็นอยู่จริง |
ไม่ใช่เป็นทฤษฎี ไม่ใช่สมมุติฐาน | |
31:07  | สิ่งที่เป็นอยู่จริงๆ |
ที่สมองกำลังทำอยู่ ขณะนี้ | |
31:13  | มันทำงานอยู่อย่างไรในขณะนี้ |
31:20  | ผมไม่ทราบว่า คุณเคยอ่านนิตยสารบ้างไหม |
31:26  | ว่าเรามีสงครามมาตลอด |
ในช่วงห้าพันปีที่ผ่านมา | |
31:35  | นั่นหมายถึง สงครามเกิดขึ้นทุกปี |
ตามประวัติศาสตร์ | |
31:45  | ใช่ไหม |
31:47  | แต่เราก็ยังดำเนินไปในแบบแผนเดิมๆ |
31:53  | ใช่ไหม |
31:54  | วิธีการเข่นฆ่าของเรา |
กลับทรงประสิทธิภาพยิ่งขึ้น | |
32:00  | ซับซ้อนยิ่งขึ้น |
32:01  | คุณสามารถทำลายล้างมนุษย์นับล้านคน |
32:06  | โดยที่ตึกรามบ้านช่องไม่บุบสลาย |
32:13  | นั่นเป็นผลของสมองอันเลอเลิศของเรา |
ใช่ไหม | |
32:20  | คุณตามทันนะ |
32:23  | เราพูดว่า การต่อสู้ ความขัดแย้ง |
สงคราม ทั้งภายในและภายนอก | |
32:33  | จริงๆ แล้ว สภาพเช่นนั้น |
ทำให้สมองเยาว์วัย สดใหม่หรือ | |
32:45  | อาจมีวิถีทางอื่น คุณเข้าใจไหม |
32:49  | เรายอมรับบรรทัดฐาน ยอมรับแบบแผน |
32:53  | ว่าเหมือนกับต้นไม้ |
ที่ดิ้นรนเพื่อรับแสงอาทิตย์ | |
33:01  | ในป่า หรือในแมกไม้ |
33:03  | เราต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้มีความรู้มากขึ้น |
33:08  | มีนี่และมีนั่นมากขึ้น และอื่นๆ |
33:11  | ผมจึงพูดว่า อาจมีวิถีทางอื่นอีก |
33:17  | ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดคุณสมบัติ |
ของสมองที่แตกต่างออกไป | |
33:26  | ที่ไม่ทำให้เจ็บปวด ไม่อยู่ภายใต้แรงกดดัน |
33:32  | ถ้าเราเข้าใจว่า ความพยายามนั้นไร้ผล |
33:40  | Q: เราไม่รู้ว่า สภาวะเช่นนั้นมีอยู่ไหม |
33:44  | K: คุณไม่รู้ |
ใช่คุณไม่รู้ | |
33:48  | Q: ใครจะให้คำตอบผม |
ว่ามันเป็นไปได้หรือเปล่า | |
33:51  | ที่มนุษยชาติจะสามารถดำเนินไปได้ |
โดยปราศจากความขัดแย้ง | |
33:56  | ผมไม่ทราบ |
33:58  | K: คุณไม่ได้ฟังสิ่งที่ผมพูด |
34:03  | ผมพูดว่า อาจมีวิถีทางอื่น คุณไม่รู้ว่ามีไหม |
34:08  | Q: ผมทึกทักเอา |
34:10  | K: ผมพูดว่า อาจจะมี |
34:14  | หมายถึง อาจจะ ในภาษาอังกฤษ |
34:17  | Q: อาจจะ |
34:18  | K: มีความเป็นไปได้ |
ดังนั้นอย่าพูดว่า เราไม่รู้ | |
34:26  | เราพูดแล้วว่า |
34:30  | การต่อสู้ดิ้นรน |
ไม่ได้ก่อให้เกิดสติปัญญาแก่ชีวิตเรา | |
34:42  | มันกลับฉลาดแยบยลในการปกป้องตัวมันเอง |
34:46  | แต่นั่นไม่ใช่สติปัญญา |
เมื่อคุณมีแต่สงครามและสงครามเกิดขึ้น | |
34:51  | ปีแล้วปีเล่า ทั่วทั้งโลก |
34:56  | ซึ่งปรากฏให้เห็นอยู่ |
34:59  | ผมเสนอว่า บางที |
– บางทีนะ – | |
35:03  | อาจจะมีวิถีอื่น มีวิถีทางอื่นในการดำรงชีวิต |
35:10  | ซึ่งบางทีจะทำให้สมองมีชีวิตชีวา |
เยาว์วัย และสดใหม่ ยิ่งกว่า | |
35:15  | ถ้าเราเข้าใจ |
ความเปล่าประโยชน์ของความพยายาม | |
35:26  | Q: (ไม่ได้ยิน) |
35:48  | K: โครงสร้างทางสังคมปัจจุบัน |
อยู่บนพื้นฐานของปัญหาการแข่งขัน | |
35:56  | ใช่ไหม |
36:00  | นั่นคือ |
36:23  | โครงสร้างทางสังคมทุกวันนี้ |
อีกทั้งระบบเศรษฐกิจของมัน และอื่นๆ | |
36:29  | แท้จริงแล้วอยู่บนพื้นฐานของการแข่งขัน |
การแก่งยิ่งชิงดีชิงเด่น | |
36:35  | การต่อสู้เพื่อไปให้ถึง |
ดิ้นรนเพื่อให้ได้บางสิ่งบางอย่าง | |
36:42  | นั่นคือ ลักษณะและโครงสร้างทางสังคม |
36:47  | ซึ่งผมจะไม่ลงลึกในรายละเอียด |
36:49  | โครงสร้างของสังคมที่เราอาศัยอยู่ |
36:53  | สังคมนั้นเป็นผลผลิตของเรา เราสร้างมันขึ้นมา |
37:00  | พระเจ้าไม่ได้สร้างมันขึ้น |
37:04  | มนุษย์ทุกคนก่อให้เกิดสังคม |
ซึ่งเรามีชีวิตอยู่ | |
37:09  | เพราะเขาก้าวร้าว เขาต้องการตำแหน่ง |
สถานะ เขาต้องการอำนาจ | |
37:13  | เขาโลภมาก และอื่นๆ |
37:19  | สังคมของเราจึงมีการแก่งแย่งชิงดี |
มีความไร้ศีลธรรมเป็นพื้นฐาน | |
37:33  | เราจะยังไม่พูดถึงว่า อะไรคือศีลธรรม |
37:36  | เราจะพูดในโอกาสต่อไป |
37:39  | แท้จริงแล้ว สังคมไร้ศีลธรรม แบ่งแยก |
37:46  | มีอำนาจที่สูงกว่าและต่ำกว่า |
37:51  | การศึกษาของเรา วิถีชีวิตทั้งหมดของเรา |
อยู่บนพื้นฐานนั้น | |
38:02  | และนั่นคือแบบแผนชีวิตเรา |
ตั้งแต่ล้านปีมาแล้ว | |
38:07  | ซึ่งอาจเป็นหนึ่งในเหตุปัจจัย |
ที่ทำลายสมอง | |
38:10  | ผมแค่เสนอ |
ผมไม่ได้พูดว่ามันเป็นอย่างนั้น | |
38:13  | มันอาจจะเป็นเหตุปัจจัยหนึ่ง |
38:21  | ความเครียด |
และการดิ้นรนต่อสู้อันไม่สิ้นสุดนี้ | |
38:26  | ความต้องการอันไม่สิ้นสุด |
ที่จะค้นหาอะไรบางอย่าง | |
38:32  | การถูกผลักดันไปสู่อะไรบางอย่าง |
38:38  | เหล่าผู้ที่กำลังแสวงหา |
38:42  | เขารู้อยู่แล้วว่า เขากำลังแสวงหาอะไร |
38:49  | ไม่เช่นนั้น คุณก็ไม่แสวงหามัน |
39:00  | นั่นเป็นหนึ่งในปัจจัยพื้นฐานที่ทำลายสมอง |
39:09  | เราจึงถามอีกครั้งถึงความน่าจะเป็น |
39:15  | ผมต้องการถามคำถามเหล่านี้ |
39:17  | มิฉะนั้น เราก็จะคงอยู่ในสภาพที่เราเป็น |
39:20  | มีความเป็นไปได้ไหม |
ที่จะมีชีวิตอยู่โดยปราศจากความขัดแย้ง | |
39:27  | ไม่เช่นนั้น สมองเราจะทำงานอยู่ตลอดเวลา |
39:31  | ทำงานอยู่ในแบบแผนแคบๆ และจำกัดอย่างยิ่ง |
39:37  | เรื่องนั้นง่ายพอที่จะเข้าใจไหม |
39:43  | Q: เราเห็นแล้วว่า |
สมองถูกอิทธิพลกำหนดอยู่อย่างไร | |
39:46  | สมองเช่นนั้น จะมีการกระทำที่ถูกต้องได้อย่างไร |
39:54  | K: เราจะสืบค้นไปช้าๆ ทีละก้าว |
40:08  | ยิ่งเราแก่ตัวลง เหตุปัจจัยนั้นก็ยิ่งทำให้สมอง |
40:15  | เสื่อมสภาพมากขึ้นและมากขึ้น |
40:18  | ยิ่งซ้ำซากมากขึ้นและมากขึ้น |
มันจะไม่เปลี่ยนแบบแผนของมัน | |
40:28  | มันกลัวที่จะทำลายแบบแผน |
40:33  | ถ้ามันมุ่งร้าย ขมขื่น โกรธเคือง |
มันก็จะคงอยู่อย่างนั้น | |
40:46  | แล้วมีหรือ วิถีชีวิต |
40:50  | ที่ไม่ใช่ความตึงเครียด |
การต่อสู้อันไม่สิ้นสุดนี้ | |
40:58  | การจะค้นให้พบ |
เราต้องเข้าใจธรรมชาติและโครงสร้าง | |
41:03  | ของความขัดแย้งไม่ลงรอยกัน |
การเปรียบเทียบ และแรงผลักดัน | |
41:13  | ที่น่าพอใจ บางครั้งก็ไม่น่าพอใจ ที่ก้าวร้าว |
41:18  | และบางครั้งก็ง่ายดาย |
41:21  | แต่แรงผลักดันนี้ |
41:28  | คือสิ่งที่เราพูดว่าทำลายสมอง |
41:33  | แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญก็เห็นด้วยในเรื่องนี้ |
41:40  | เราได้พูดคุยกับผู้ที่ได้ชื่อว่า |
เป็นผู้เชี่ยวชาญทางสมองคนหนึ่ง | |
41:45  | เขาก็เห็นด้วยในเรื่องนี้ |
41:48  | ในเมื่อเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญ |
คุณก็ต้องเห็นด้วยกับเขา | |
41:54  | ใช่ไหม |
41:56  | เพราะพวกคุณติดอยู่ในอำนาจของผู้รู้ |
42:02  | นั่นคือเหตุปัจจัยหนึ่ง |
42:06  | แล้วมีเหตุปัจจัยอะไรอีก |
42:15  | พูดมาเลย |
42:17  | Q: ดูเหมือนความคิดของผม |
ไม่ต้องการให้ตัวมันจบสิ้น | |
42:30  | K: เขาพูดสิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจ |
42:34  | ถ้าผมเข้าใจคำถามถูกต้อง |
42:38  | เรากลัวการจบสิ้น |
42:44  | ใช่ไหม |
42:47  | ถ้าเราผูกพัน รวมทั้งสิ่งที่ตามมาเป็นลำดับ |
42:56  | และสิ่งที่เกี่ยวเนื่องอยู่ในความผูกพัน |
43:01  | ทั้งความเจ็บปวด ความกลัว และทั้งหมดนั้น |
43:08  | การสืบต่อแบบแผนที่เหมือนเดิมของความผูกพัน |
43:12  | เป็นหนึ่งในเหตุปัจจัยที่ทำให้สมองเสื่อม |
43:18  | ผมสงสัยว่า คุณเข้าใจไหม |
43:24  | เพราะสิ่งที่สืบต่อนั้น |
43:34  | เป็นนิสัยเคยชิน |
เป็นกิจวัตรเดิมๆ เป็นกลไก | |
43:44  | สมองซึ่งกลายเป็นกลไก |
43:50  | เป็นหนึ่งในเหตุปัจจัยที่ทำให้เสื่อมถอย |
44:00  | เรื่องนี้ชัดเจนมาก |
44:05  | ไม่ใช่หรือ |
44:08  | ถ้าผมเกิดในอินเดีย |
สืบต่อความเป็นคนอินเดีย | |
44:14  | คิดไปตามครรลองเดิมๆ |
44:17  | ที่เป็นความงมงายของผม |
พระเจ้าของผม สิ่งประดิษฐ์ของผม | |
44:21  | เป็นกิจวัตรซ้ำๆ ซากๆ |
มันเป็นกลไกอย่างเห็นได้ชัด | |
44:25  | เป็นจารีต มันจึงทำลายตัวมันเอง |
44:32  | นั่นคือเหตุปัจจัยหนึ่ง |
44:35  | การดิ้นรนต่อสู้ ความพยายาม |
การต่อสู้กับตนเอง | |
44:45  | และวิถีชีวิตที่เป็นกลไก |
44:54  | การทำตามจารีตซึ่งอาจจะเก่าแก่ |
แค่สองวันหรือหมื่นปีก็ตาม | |
45:02  | นั่นหมายถึง กระบวนการเคลื่อนไหวที่ต่อเนื่อง |
45:06  | ไปในทิศทางเดียวกัน |
45:09  | เป็นเหตุปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สมองเสื่อมถอย |
45:15  | ไม่ใช่หรือ |
45:17  | Q: กระบวนการเคลื่อนไหวที่ต่อเนื่อง |
บ่งบอกถึงการดิ้นรนต่อสู้ ใช่ไหม | |
45:20  | มันเหมือนกัน ไม่ใช่หรือ |
เพราะถ้าผมไม่ดิ้นรนต่อสู้ | |
45:23  | ผมก็ไม่สามารถเคลื่อนไปได้อย่างต่อเนื่อง |
45:26  | K: ผมอาจจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง |
ในวิถีนี้ หรือวิถีนั้น | |
45:30  | Q: แต่การสืบต่อเนื่องนั่นเอง คือการดิ้นรน |
45:35  | มันเหมือนกันกับการดิ้นรน |
45:38  | K: เห็นด้วยไหม |
45:40  | อย่าอธิบาย เป็นที่เข้าใจกันแล้ว |
45:48  | การดิ้นรนต่อสู้เป็นสิ่งที่เราคุ้นเคย |
จนกลายเป็นแบบแผน | |
45:55  | และไม่เคยจบสิ้นอะไรเลย |
ซึ่งก็เป็นแบบแผนของเราด้วย | |
46:04  | ถ้าผมเจ็บปวด ผมก็แบกพามันไปชั่วชีวิต |
46:09  | ผมไม่เคยจบสิ้นความเจ็บปวดของผม |
46:14  | ดังนั้น วิถีชีวิตแบบกลไก |
เป็นหนึ่งในเหตุปัจจัยที่ทำให้สมองเสื่อม | |
46:23  | นั่นไม่ได้หมายความว่า เราต้องเป็นธรรมชาติ |
46:28  | จิตที่ไม่เคยเป็นอิสระเลย |
46:33  | จิตที่ทำงานอยู่ในแนวราบหรือแนวตั้ง |
ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง | |
46:39  | จิตที่ทำตามแบบแผนเช่นนั้น |
46:43  | จะมีความเป็นธรรมชาติลักษณะใดๆ ได้หรือ |
มันเป็นไปไม่ได้ | |
46:46  | มันอาจคิดว่าเป็นธรรมชาติ |
- เราค้นพบสองเหตุปัจจัยแล้ว | |
46:55  | มีเหตุปัจจัยอะไรอีกไหม |
46:58  | Q: ตัวความคิดเองนั่นแหละ |
47:01  | K: เดี๋ยวก่อน |
ผมจะพูดถึงเรื่องนั้นในตอนท้าย | |
47:03  | ก่อนที่คุณจะเอาเรื่องความคิดเข้ามา |
ให้พิจารณาเรื่องอื่นก่อน | |
47:11  | Q: การเอาตนเองเป็นศูนย์กลางความสำคัญ |
47:16  | K: การเอาตนเองเป็นศูนย์กลางความสำคัญ |
อาจเป็นไปได้ | |
47:25  | เดี๋ยวก่อน ผมกำลังจะมาถึงตรงนั้น |
47:28  | เหตุปัจจัยหนึ่ง |
อาจจะเป็นความอยากที่ไม่สิ้นสุด | |
47:34  | อยากที่จะผนึกตนเข้ารวม |
เป็นหนึ่งเดียวกับบางสิ่ง | |
47:42  | ผมถามคุณ |
อย่าเพิ่งเห็นด้วยหรือปฏิเสธ แต่ให้ค้นหา | |
47:49  | แรงพยายาม แรงผลักดัน แรงกระตุ้น |
ความอยากอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา | |
47:57  | ที่พูดว่า “ฉันคือสิ่งๆ นั้น” |
48:08  | ที่ผนึกตัวฉันเองเข้ากับประเทศชาติ |
48:12  | กับความเชื่อ บุคคล แนวคิด และอุดมคติ |
48:19  | หรือเครื่องประดับ คุณเข้าใจไหม |
48:24  | การเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา |
จากสิ่งที่ฉันเป็น ไปสู่สิ่งที่ฉันควรจะเป็น | |
48:38  | และการผนึกตนเข้ากับสิ่ง “ที่ควรจะเป็น” |
48:44  | ซึ่งก็คือ การต่อสู้ อีกนั่นแหละ |
48:52  | มีเหตุปัจจัยอะไรอื่นอีกไหม |
48:56  | ความพยายาม วิถีชีวิตที่เป็นกิจวัตรซ้ำซาก |
49:03  | ถ้าสิ่งพวกนั้นถูกทำลาย |
คุณก็สร้างกิจวัตรอื่นขึ้นมาอีก | |
49:08  | ซึ่งหมายถึง จิต สมอง |
ที่ถูกทำให้เคยชิน | |
49:16  | เป็นความเคยชินของมัน |
ที่ทำตามอย่างเป็นกลไก | |
49:24  | ยอมรับอย่างเป็นกลไก |
มีชีวิตอยู่อย่างเป็นกลไก | |
49:29  | - ฉันทำสิ่งนี้เมื่อวาน |
และฉันต้องทำอีกในวันพรุ่งนี้ | |
49:34  | เมื่อวาน ฉันมีความสุขเพลิดเพลินทางกามารมณ์ |
และพรุ่งนี้ฉันต้องมีอีก | |
49:38  | อย่างนี้เป็นต้น |
49:43  | อาจมีอีกเหตุปัจจัยหนึ่ง |
49:47  | ซึ่งคือ แรงทบทวีทั้งมวลของความคิด |
49:56  | บางทีคุณอาจไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้ |
ก็อย่าเห็นด้วย | |
50:04  | แต่เราจะไม่สามารถสื่อกันได้ |
50:10  | ผมต้องการจะสื่อ แต่คุณอาจไม่เต็มใจที่จะสื่อ |
50:16  | คุณอาจจะพูดว่า “ให้ใช้คำพูดที่แตกต่างออกไป” |
50:23  | คำพูดไม่สำคัญ |
เมื่อคุณต้องการสื่ออะไรบางอย่าง | |
50:28  | จะต้องมีแรงกระตุ้น |
ที่จะทำความเข้าใจกันและกัน | |
50:32  | แล้วผมก็ใช้คำในภาษาเอสกิโม |
หรือภาษาอื่นได้ | |
50:40  | ภาษาไม่ใช่อุปสรรค |
50:45  | ความอยากที่จะเข้าใจสำคัญกว่าถ้อยคำ |
50:55  | ผมจึงถามว่า |
50:58  | เหตุปัจจัยสำคัญหนึ่ง |
ซึ่งอาจเป็นเพียงเหตุปัจจัยเดียวเท่านั้น | |
51:06  | ที่ทำลายสมอง |
51:08  | คือ การที่ความคิดเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา |
ใช่ไหม | |
51:26  | Q: ความคิดก่อให้เกิดความกลัว |
51:31  | ความกลัวหนึ่งคือ |
กลัวการสื่อกัน สื่อกันจริงๆ | |
51:37  | ขณะนี้ผมกลัวที่จะสื่อกับคุณ |
51:41  | ผมกำลังสื่อกับคุณ |
แต่ผมรู้สึกกลัว จะด้วยเหตุใดก็ตาม | |
51:45  | ดูเหมือนความคิด |
ก่อให้เกิดความกลัวขึ้น ในตัวผม | |
51:48  | กลัวที่จะสื่อกับคุณ |
ขณะนี้ ที่นี่ ที่มีผู้คนเหล่านี้ | |
51:53  | Q: เขาพูดว่า ความคิดก่อให้เกิดความกลัว |
51:56  | กลัวที่จะสื่อกับคุณ ที่นี่และขณะนี้ |
52:01  | K: ความคิดก่อให้เกิดความกลัว |
52:07  | ความกลัวนั้นเกิดขึ้น |
เพราะความคิดกลัวที่จะสื่อกับคุณ | |
52:18  | อย่างนั้นใช่ไหม คุณกลัวหรือที่จะสื่อกับผม |
52:24  | ผมไม่ได้พูดว่า คุณกลัวหรือไม่กลัว |
ผมไม่ทราบ | |
52:29  | นอกจากคุณเป็นผู้อุทิศตน |
นอกจากคุณจะพูดว่า | |
52:34  | “ผมศิโรราบต่อคุณ |
ไม่ว่าคุณจะเป็นอะไร ผมศิโรราบ” | |
52:39  | แล้วคุณก็จะหลับหลง |
52:43  | เรารู้สึกกลัวหรือที่จะสื่อกันและกัน |
52:51  | Q: เราไม่เข้าใจสิ่งที่คุณพูดอย่างเต็มที่ |
52:59  | K: ไม่ใช่ มันต่างจากนั้น... |
53:04  | เราไม่เข้าใจเต็มที่ในสิ่งที่คุณพูด |
53:08  | |
53:13  | ฉะนั้น สิ่งที่อาจเกิดขึ้น ไม่ใช่ความกลัว |
53:16  | “ผมไม่เข้าใจที่คุณพูด ขอให้อธิบายอีก |
อธิบายในแบบที่ต่างออกไป” | |
53:18  | ในการทำเช่นนั้น ไม่มีความกลัว |
53:24  | นอกจากเรากลัวที่จะเปิดเผยตัวเราเอง |
53:31  | ใช่ไหม |
53:33  | คุณอาจไม่ต้องการจะเปิดเผยตัวคุณให้ผมรู้ |
53:35  | และผมก็ไม่ต้องการ |
ให้คุณเปิดเผยตัวคุณต่อผม | |
53:40  | แต่คุณควรเปิดเผยตัวคุณ ต่อตัวคุณเอง |
53:47  | มองให้เห็นตัวคุณ บางทีคำว่าเปิดเผยตัวคุณ |
เป็นคำที่ค่อนข้างคลุมเครือ | |
53:54  | คุณควรเห็นตัวคุณเองอย่างที่คุณเป็น |
54:00  | บทบาทของผู้พูดจึงไม่สำคัญ |
54:04  | ถ้าคุณใช้เขาเป็นกระจก |
เพื่อมองให้เห็นตัวคุณอย่างที่คุณเป็น | |
54:11  | ขอให้เคลื่อนต่อไปด้วยกัน |
54:16  | เราพูดว่า เหตุปัจจัยสำคัญหนึ่ง |
และอาจเป็นเหตุปัจจัยเดียวเท่านั้น | |
54:22  | คือการที่ความคิดเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา |
54:31  | ทั้งขณะที่คุณตื่นและหลับ |
54:36  | ขณะที่คุณกำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง |
หรืออยู่นิ่งๆ | |
54:42  | การคิดจ้ออยู่ตลอดเวลานี้ |
54:46  | บางทีไม่ได้พูดออกมา แต่มีจินตนาการ |
55:00  | เมื่อมองดูสิ่งต่างๆ แล้วให้ชื่อมัน |
55:04  | กลไกนี้ดำเนินอยู่ตลอดเวลา |
55:10  | เราพูดว่า นั่นอาจจะเป็น |
ตัวการทำลายสมองที่แท้จริง | |
55:28  | คำถามจึงเกิดขึ้นว่า |
55:32  | แล้วเป็นไปได้อย่างไร ที่จะไม่คิดเลย |
55:39  | เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน |
55:45  | นั่นเป็นแนวคิดที่จะควบคุมความคิด |
55:53  | เพื่อที่มันจะไม่คิดเรื่องอะไรเลย |
55:57  | นอกจากสิ่งที่มันถูกบงการให้คิด |
56:01  | คุณเข้าใจไหม |
56:09  | นั่นคือ เราตระหนัก ถ้าคุณตระหนัก |
56:14  | ว่าความคิดคือ หนึ่งในเหตุปัจจัยหลัก |
ที่ทำลายสมอง | |
56:22  | ความคิดทำลายสมอง |
56:26  | แล้วคุณก็ถามว่า |
56:30  | เพราะเหตุใด กลไกนี้จึงดำเนินอยู่ตลอดเวลา |
56:38  | แรงจูงใจที่ขับเคลื่อนมันคืออะไร |
เชื้อเพลิงของมันคืออะไร | |
56:44  | อะไรคือน้ำมันที่หล่อเลี้ยง |
ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม | |
56:47  | ที่ทำให้กระบวนการนี้ดำเนินอยู่ |
ดำเนินอยู่ต่อๆ ไป | |
56:50  | ทั้งวันและคืน |
56:53  | Q: หน้าที่ของสมองคือการคิด ใช่ไหม |
57:03  | K: หน้าที่ของสมองคือการคิด |
57:10  | ใช่ไหม |
57:13  | อย่ากำหนดอะไร อย่าให้แน่นอนตายตัว |
57:19  | ถ้าผมขอได้ ขอให้เราค้นหา |
57:26  | ถ้าการคิดเป็นธรรมชาติของสมอง |
57:34  | และการคิดนี้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง |
ไม่หยุดหย่อน | |
57:38  | มันจึงทำลายตัวมันเอง |
57:41  | เหมือนเครื่องจักร |
เหมือนรถคุณที่วิ่งอยู่ตลอดเวลา | |
57:49  | เติมของใหม่ น้ำมันหล่อลื่นใหม่ |
ดูแลมันอย่างเหมาะสม | |
57:54  | แต่ใช้งานให้มันวิ่ง วิ่งตลอดเวลา |
คุณจะทำให้มันเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว | |
58:05  | นั่นจึงเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำลายสมอง |
58:13  | คุณตามทันไหม ไม่ว่าคุณจะคิดในแนวตั้ง |
แนวราบ หรือแนวนอน | |
58:23  | เราคุ้นชินกับการอ่านหนังสือจากซ้ายไปขวา |
58:31  | การคิดของเราจึงเป็นแนวราบ ไม่มากก็น้อย |
58:35  | แต่หากคุณอ่าน |
อย่างที่อ่านกันในจีนและญี่ปุ่น | |
58:39  | การทำอย่างนั้น |
คุณก็ทำไปตามครรลองที่แน่นอน | |
58:51  | คืออ่านจากซ้ายไปขวา ขวาไปซ้าย |
ก็เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นอาหรับ หรืออื่นๆ | |
58:56  | ปัญหาของเราก็คือ |
59:02  | อะไรคือน้ำมันเชื้อเพลิง |
น้ำมันหล่อลื่น พลังงาน | |
59:12  | ที่ทำให้สภาพนี้ดำเนินต่อไป |
ซ้ำๆ ซากๆ แล้วๆ เล่าๆ | |
59:17  | นั่นคือปัญหา ใช่ไหม |
59:18  | อะไรคือต้นกำเนิดของพลังงานนี้ |
59:23  | ซึ่งใช้ในการคิดอยู่ในขณะนี้ |
59:30  | Q: มันถูกส่งมาโดยประสาทสัมผัส |
59:40  | K: ผู้ถามหรือเธอพูดว่า |
มันถูกส่งสัญญาณมาโดยประสาทสัมผัส | |
59:49  | ใช่อย่างนั้นไหม |
59:52  | เมื่อคุณเปิดตาแล้วมองดู |
59:58  | ประสาทสัมผัสของคุณกำลังมอง |
1:00:02  | แต่ถ้าคุณหลับตาและคิดไปเรื่อย |
1:00:10  | การคิดเป็นผลของประสาทสัมผัสเท่านั้นหรือ |
1:00:16  | หรือการคิดขึ้นอยู่กับอย่างอื่น |
ซึ่งคือความทรงจำ เป็นต้น | |
1:00:24  | เราต้องการจะค้นให้พบว่า พลังงานอะไร |
1:00:32  | ที่ใช้ในการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง |
ของความคิด คุณเข้าใจไหม | |
1:00:42  | Q: นั่นหมายถึง ความคิดนั้นอยู่ในอดีต |
1:00:46  | K: ไม่ใช่ อย่าเพิ่งพูดว่ามันเป็นอย่างนั้น |
1:00:55  | ขอให้ค้นหา |
1:01:01  | พลังงานมีอยู่ ใช่ไหม |
1:01:08  | พลังงานซึ่งใช้ไปในความขัดแย้ง |
1:01:14  | ซึ่งกลายเป็นกลไก เป็นกิจวัตรซ้ำซาก |
1:01:23  | และเราพูดแล้วว่า การผนึกตนอยู่ตลอดเวลานี้ |
1:01:30  | พลังงานทั้งหมดถูกใช้ไปตามครรลองเหล่านี้ |
1:01:34  | เราถามว่า |
1:01:41  | เพราะเหตุใด |
ความคิดจึงใช้พลังงานนี้อย่างเต็มที่ | |
1:01:51  | คุณเข้าใจที่ผมพูดไหม |
1:01:55  | K: ขออย่าด่วนสรุป แต่ให้ค้นหา |
1:02:00  | ผมไม่ทราบว่า ผมอธิบายชัดเจนหรือยัง |
1:02:07  | ในการพยายาม คุณต้องใช้พลังงาน |
1:02:12  | ในการดิ้นรน การต่อสู้ ภายในหรือภายนอก |
พลังงานเป็นสิ่งจำเป็น | |
1:02:20  | ในการผนึกตนเข้ากับคนอื่น และอื่นๆ |
1:02:23  | จำต้องใช้พลังงาน |
1:02:27  | เมื่อสมองกลายเป็นกลไก เป็นกิจวัตรซ้ำซาก |
1:02:36  | ทำตามแบบแผน |
1:02:39  | มันก็ใช้พลังงานด้วย |
1:02:43  | ผมถามว่า เพราะอะไรความคิด |
จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง | |
1:02:50  | และใช้พลังงานของเราแทบหมดสิ้น |
1:02:58  | ผมเพิ่งกล่าวออกไป ตัวผมเองยังไม่ชัดเจน |
1:03:02  | ว่าผมบอกสิ่งที่ผมสังเกตอยู่หรือเปล่า |
บอกเป็นคำพูด | |
1:03:08  | ถ้าใครเข้าใจที่ผมพูดแล้ว ขอให้สืบค้นต่อไป |
1:03:13  | Q: เราพยายามที่จะควบคุมสภาพแวดล้อม |
1:03:22  | K: การควบคุมลักษณะใดก็ตาม |
ทำให้พลังงานสูญเปล่า | |
1:03:36  | Q: อาจจะ |
เมื่อคุณใช้ความคิดไม่หยุดหย่อนเท่านั้น | |
1:03:39  | การทำเช่นนั้น |
1:03:41  | คุณเพียงสืบต่อ |
ความรู้สึกเป็น “ฉัน” ให้คงอยู่ถาวร | |
1:03:43  | “ฉัน” ความเป็นตัวตน |
1:03:44  | K: ผมต้องการไปให้ถึงเรื่องนั้น |
“ฉัน” ความเป็นตัวตน | |
1:03:45  | K: ผมต้องการไปให้ถึงเรื่องนั้น |
1:03:46  | เพราะอะไรความคิดจึงใช้พลังงานมากมาย |
1:03:57  | เราจึงไม่มีพลังงานเพื่อการอื่น |
1:04:02  | Q: เพราะหากปราศจากความรู้สึก |
ของความเป็น “ฉัน” | |
1:04:05  | ความจริงคือว่า |
“ฉันสามารถทำอะไรบางอย่างได้… | |
1:04:07  | K: ผมต้องการค้นในเรื่องนั้น |
ขอให้ค้นเข้าไปอีกหน่อย | |
1:04:10  | ถ้าเราเข้าใจกันและกัน |
ขอให้สืบค้นเข้าไปอีกเล็กน้อย | |
1:04:14  | คุณเข้าใจที่ผมพูดไหม |
1:04:20  | Q: ผมคิดว่า สมองมองหา |
ความมั่นคงปลอดภัยอยู่เสมอ | |
1:04:23  | โดยการเปรียบเทียบทุกสิ่งทุกอย่าง |
1:04:25  | K: ผมเข้าใจ |
เราแสวงหาความมั่นคงปลอดภัย | |
1:04:30  | มั่นคงปลอดภัยอยู่ในความเชื่อ |
ในครอบครัว ในบ้าน | |
1:04:34  | ในอุดมการณ์ ในการผนึกตน และอื่นๆ |
1:04:40  | เราต้องการความมั่นคงปลอดภัย |
นั่นเป็นที่เข้าใจ | |
1:04:43  | เหมือนเด็กเล็กๆ เหมือนทารก |
จำต้องมีความมั่นคงปลอดภัย | |
1:04:47  | สมองจึงเรียกร้องต้องการความมั่นคงปลอดภัย |
เราพูดไปแล้ว | |
1:04:51  | และคุณอาจคิดว่า ความมั่นคงปลอดภัยนั้น |
1:04:55  | มีอยู่ในการเคลื่อนไหว |
อันไม่สิ้นสุดของความคิด | |
1:05:00  | คุณเข้าใจไหม |
คุณค้นพบอะไรบางอย่างไหม | |
1:05:06  | ความคิดแสวงหาความมั่นคงปลอดภัย |
1:05:13  | และสร้างสิ่งที่มันคิดว่ามั่นคงขึ้น |
1:05:18  | แล้วคงอยู่ในแบบแผนนั้น |
1:05:23  | ความคิดจึงใช้พลังงานมหาศาล ทั้งคืนทั้งวัน |
1:05:32  | แล้วเราพูดว่า นั่นอาจเป็นปัจจัยหนึ่ง |
1:05:34  | ที่ทำให้สมองเสื่อมถอย |
1:05:38  | Q: มันเป็นตัวความคิดเอง |
หรือเป็นจุดที่ความคิด… | |
1:05:44  | K: เป็นตัวความคิดเอง หรือเมื่อความคิดทำงาน |
1:05:50  | ถูกแล้ว ตัวความคิดเอง |
หรือความคิดที่เคลื่อนไหวทำงาน | |
1:05:58  | ใช่ไหม |
1:06:02  | Q: ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสมดุลหรือ |
1:06:08  | K: ไม่ใช่ปัญหาความสมดุลหรือ |
1:06:13  | อาจใช่หรือไม่ใช่ |
1:06:17  | คุณไม่ได้ฟัง |
1:06:18  | พวกคุณทั้งหมดกำลังคิด |
แต่เราไม่ได้คิดไปด้วยกัน | |
1:06:21  | นั่นไม่ได้หมายความว่า |
ให้คุณยอมรับ | |
1:06:24  | แต่ขอให้คิดไปด้วยกัน |
ในประเด็นเดียวกัน | |
1:06:26  | บางทีเราอาจจะเกิด |
ความเข้าใจบางสิ่งบางอย่าง | |
1:06:32  | รอสักครู่ |
1:06:34  | Q: ฉันคิดว่า |
เรากลัวที่จะว่างเปล่าโดยปราศจากการคิด | |
1:06:39  | หรือปลอดภัยโดยปราศจากการคิด |
1:06:41  | K: เราพูดกันแล้วเมื่อวานหรือวานซืน |
1:06:46  | ว่าเรากลัว ถ้าความคิดไม่ยุ่งวุ่นวาย |
อยู่กับบางสิ่งบางอย่าง | |
1:06:53  | เรากลัวที่จะเผชิญความอ้างว้างเดียวดาย |
1:06:57  | |
1:07:03  | ความกลัวเป็นปัจจัยหนึ่ง |
ที่ทำลายสมองอย่างเห็นได้ชัด | |
1:07:09  | Q: เราพูดได้ไหมว่า ความคิดโลดแล่น |
ไม่อาจควบคุมได้ | |
1:07:14  | K: เราพูดได้ไหมว่า ความคิดโลดแล่น |
ควบคุมไม่ได้ | |
1:07:20  | พูดได้ ความคิดควบคุมไม่ได้ |
1:07:27  | ในทางเทคโนโลยี ความคิดโลดแล่น |
ไม่หยุดยั้ง | |
1:07:31  | มีการผลิตเด็กทารกในหลอดทดลอง เป็นต้น |
1:07:37  | ขอให้กลับมาเรื่องเดิม |
1:07:44  | ผมต้องการค้นให้พบวิถีชีวิตที่ไม่ทำลายสมอง |
1:07:59  | Q: มีหรือวิถีชีวิต… |
1:08:02  | K: พระเจ้า! |
1:08:03  | Q: เพื่อที่จะ |
ไม่ต้องลดสิ่งที่เป็นกลไกไปทั้งหมด | |
1:08:06  | สิ่งที่เป็นเทคโนโลยีทั้งหมด |
1:08:09  | ที่ประหลาดพิกล |
ซึ่งเป็นผลผลิตของสมองมนุษย์ | |
1:08:16  | เราสามารถมีสิ่งเหล่านั้น |
ซึ่งเป็นผลผลิตของความคิด ได้ไหม | |
1:08:20  | ซึ่งจะช่วยปลดเปลื้องเรา |
จากความไม่สะดวกสบายต่างๆ นานา | |
1:08:26  | หรือความกลัวที่จะไม่สะดวกสบาย |
1:08:29  | หรือความกลัว |
ที่จะไม่สืบต่อสิ่งส่วนตัวของเรา | |
1:08:33  | K: เราค้นเข้าสู่เรื่องทั้งหมดนั้นแล้ว |
1:08:36  | ในช่วงการพูดและการสนทนา |
สองสามครั้งที่ผ่านมา | |
1:08:39  | แต่ผมต้องการเข้าสู่เรื่องต่อไป |
ขอให้ช่วยกันค้นหา | |
1:08:49  | เราสังเกตเห็นได้ชัดเจน |
ว่าความพยายามอันไม่สิ้นสุดทำลายสมอง | |
1:09:00  | การดิ้นรนอันไม่สิ้นสุด |
1:09:04  | และกระบวนการที่เป็นกลไกด้วย |
1:09:11  | ซึ่งหมายถึงการฝึกปฏิบัติ |
เรื่องทั้งหมดนั้น | |
1:09:13  | ซึ่งกลายเป็นกลไกจนหมดสิ้น |
ที่เรียกว่า การทำสมาธิ | |
1:09:19  | เราค้นพบแล้วสองเหตุปัจจัย |
1:09:23  | แล้วเราก็พูดว่า ปัจจัยหลักอาจจะเป็น |
1:09:27  | กระบวนการ การเคลื่อนไหวทั้งหมด |
ของความคิด และการกระทำของมัน | |
1:09:36  | และเราถามว่า เหตุใดความคิด |
จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง | |
1:09:46  | มันใช้พลังงานอย่างมหาศาล ทั้งคืนทั้งวัน |
1:09:58  | ในความคิดที่เป็นมโนภาพ ในแนวคิด |
ในมโนภาพทางกามารมณ์ และอื่นๆ | |
1:10:02  | ล้วนเป็นการเคลื่อนไหวของความคิด |
ที่คิดตลอดเวลา | |
1:10:05  | ทั้งความโกรธ ความขมขื่น ความก้าวร้าว |
1:10:08  | ที่พูดว่า “คุณผิด ฉันถูก” |
การต่อสู้ที่ดำเนินอยู่ | |
1:10:16  | เพราะเหตุใด ความคิดจึงสำคัญอย่างใหญ่หลวง |
1:10:23  | ซึ่งดูเหมือนเห็นได้ชัดว่า ไม่จบสิ้น |
1:10:30  | คุณเข้าใจคำถามไหม |
1:10:34  | มีหรือจุดจบสิ้น คุณตามทันไหม |
1:10:41  | การจบสิ้นอะไรบางอย่าง |
เป็นการปลดปล่อยพลังงาน | |
1:10:48  | ไม่ใช่ในทิศทางใด |
แต่เป็นการปลดปล่อยพลังงาน | |
1:10:52  | เรื่องนี้ยากเกินไปสำหรับคุณ |
1:10:55  | แต่ผมต้องการเคลื่อนต่อไป |
1:11:03  | เรารู้ไหมว่า เหตุสำคัญอย่างหนึ่ง |
1:11:07  | คือการที่ความคิดอยู่ในการขับเคลื่อน |
อยู่ในการเคลื่อนไหว | |
1:11:11  | ในทันทีที่คุณตื่น จนกระทั่งคุณหลับ |
1:11:17  | เมื่อคุณหลับ |
มันก็ยังขับเคลื่อนอยู่ตลอดเวลา | |
1:11:26  | มันอาจจะเป็นกลไกอัตโนมัติ |
1:11:31  | ดังนั้น ความคิดจึงเป็นกลไกอัตโนมัติ |
1:11:34  | มันจึงเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้สมองเสื่อมถอย |
1:11:56  | เรารู้ไหม เราเห็นความจริงไหม |
ว่าความคิดเป็นกลไกอัตโนมัติ | |
1:12:06  | Q: ดูเหมือนมีอะไรมากกว่านั้น |
1:12:11  | ความคิดที่ไม่สิ้นสุดนี้ |
หล่อเลี้ยงแรงขับเหล่านั้น | |
1:12:16  | ซึ่งกระตุ้นการคิด |
เช่น ความหยิ่งทะนง ความโลภ | |
1:12:22  | K: เราพูดแล้วว่า อะไรเป็นแรงจูงใจ |
1:12:26  | เราถามว่า อะไรเป็นแรงจูงใจ |
ในการคิดที่ไม่สิ้นสุดนี้ | |
1:12:32  | แรงจูงใจหมายถึง |
การเคลื่อนไปในทิศทางหนึ่ง หรือไม่มีทิศทาง | |
1:12:42  | จริงๆ แล้ว คำว่าแรงจูงใจ |
หมายถึง การเคลื่อนไป | |
1:12:49  | เราได้ค้นเข้าสู่เรื่องทั้งหมดนี้แล้ว |
1:12:51  | ผมถามว่า ตราบใดที่สมองนี้ |
สมองของเรา | |
1:13:02  | กลายเป็นกลไก |
1:13:06  | นั่นอาจเป็นปัจจัยหลักของการเสื่อมถอย |
1:13:10  | กระบวนการที่เป็นกลไกนั้นคือความคิด |
ความคิดเป็นกลไกอัตโนมัติ | |
1:13:20  | คุณเห็นไหม |
1:13:26  | คุณอาจประดิษฐ์เครื่องยนต์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด |
1:13:31  | แต่มันก็ยังเป็นกระบวนการของความคิด |
1:13:35  | คุณอาจจะนั่งหลับตาแล้วคิดเกี่ยวกับพระเจ้า |
1:13:39  | มันก็ยังเป็นกลไกอัตโนมัติ |
1:13:42  | หรือคุณจะพูดว่า “ฉันจะฝึกปฏิบัติ |
ฉันจะนั่งเงียบๆ | |
1:13:46  | ฉันจะยอมจำนน |
ต่อใครบางคนที่มีหนวดเครา หรือไม่มี” | |
1:13:52  | นั่นก็เป็นกลไกเช่นกัน |
1:13:54  | ดังนั้น การเคลื่อนไหวใดๆ ของความคิด |
เป็นกลไกอัตโนมัติ | |
1:14:00  | แล้วเราพูดว่า นั่นเป็น |
เหตุปัจจัยที่แท้ของการเสื่อมถอย | |
1:14:08  | เพราะทำให้เราดิ้นรนต่อสู้ |
1:14:12  | ใช่ไหม |
1:14:15  | เราแก่งแย่งชิงดี |
ต้องการจะไปให้ถึง ต้องการบรรลุ | |
1:14:19  | ต้องการเป็นผู้ประสบความสำเร็จ |
ทั้งหมดนั้น คือการเคลื่อนไหวของความคิด | |
1:14:25  | การผนึกตน เป็นต้น |
1:14:28  | ความคิดจึงเป็นเหตุปัจจัยที่แท้จริง |
ของการเสื่อมของสมอง | |
1:14:41  | Q: ความคิดคือ ความเป็น “ฉัน” |
1:14:47  | K: ความคิดคือ ความเป็น “ฉัน” |
1:14:54  | Q: แต่เป็นไปไม่ได้หรือ |
ที่ภายในพื้นที่ของความคิด | |
1:14:58  | |
1:15:00  | จะมีพื้นที่อื่น |
ที่ความคิดเป็นธรรมชาติและมีชีวิต | |
1:15:04  | ความคิดโดยทั่วไปแล้ว เป็นเพียง… |
1:15:08  | K: หมายถึง เราต้องสืบค้นเข้าสู่คำถามว่า |
ความคิดคืออะไร | |
1:15:15  | ความคิดคืออะไร |
1:15:18  | ถ้าคุณไม่มีความทรงจำ |
คุณไม่สามารถที่จะคิดได้ | |
1:15:23  | ความทรงจำเป็นการสั่งสมประสบการณ์ |
เป็นความรู้ | |
1:15:29  | นั่นชัดเจน |
1:15:34  | ไม่ชัดเจนหรือ |
1:15:40  | แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ที่ลึกล้ำก็พูดอย่างนี้ |
1:15:45  | ขอให้ยอมรับ |
1:15:55  | ถ้าคุณต้องการที่จะยอมรับผู้เชี่ยวชาญ |
1:15:58  | แต่คุณสังเกตสมองของคุณเองได้ |
ในขณะที่มันทำงาน | |
1:16:09  | ถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วเราจะทำอย่างไร |
1:16:21  | คุณเข้าใจไหม |
1:16:23  | การเคลื่อนไหวใดๆ ของความคิด |
ทำให้สมองเสื่อมถอย | |
1:16:29  | การเคลื่อนไหวใดก็ตาม |
1:16:37  | Q: เรามีชีวิตอยู่ |
โดยปราศจากการคิดได้อย่างไร | |
1:16:41  | K: เมื่อปราศจากการคิด |
เราจะมีชีวิตอยู่อย่างไร | |
1:16:44  | เราได้ค้นเข้าสู่เรื่องทั้งหมดนี้แล้ว |
ผมจะบอกคุณ | |
1:16:50  | หมดเวลาแล้วหรือยัง |
1:16:53  | Q: (ไม่ได้ยิน) |
1:16:56  | K: 11.45 น |
1:16:58  | Q: แล้วเราจะทำอย่างไรดี |
1:17:03  | K: คุณจะฟังไหม ถ้าผมบอกคุณ |
1:17:05  | Q: เราทุกคนจะฟังอย่างตั้งใจ |
1:17:16  | K: ผมบอกคุณไปแล้ว |
1:17:26  | ผมบอกคุณแล้ว |
1:17:30  | แต่คุณไม่ได้ฟัง |
1:17:33  | Q: คุณเอ่ยว่า “เราจะทำอย่างไรดี” |
1:17:35  | K: เดี๋ยวก่อน ผมบอกคุณไปแล้ว |
Q: คุณเอ่ยว่า “เราจะทำอย่างไรดี” | |
1:17:36  | K: เดี๋ยวก่อน ผมบอกคุณไปแล้ว |
1:17:38  | ถ้าผมไม่ปัญญาอ่อนที่พูดว่า |
ผมบอกคุณไปแล้ว ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้บอก | |
1:17:41  | ผมก็เป็นคนโกหก |
1:17:43  | หรือไม่ คุณก็ไม่ได้ฟัง |
1:17:48  | ดังนั้น กรุณาฟังอีกครั้ง |
1:17:55  | นั่นหมายถึง ฟังเพื่อค้นให้พบ |
1:18:03  | ฟังด้วยความใส่ใจ ฟังด้วยความรัก |
1:18:06  | ฟังโดยไม่พูดว่า “ฉันได้ยินมาก่อนแล้ว” |
1:18:12  | ถ้าคุณได้ยินมาก่อน แล้วผมพูดซ้ำอีก |
1:18:14  | คุณก็จะพูดว่า “ฉันเบื่อแล้ว” |
1:18:18  | แต่ถ้าคุณได้ฟัง ได้ลองทำ |
ได้ทำดู ได้ค้นพบ | |
1:18:22  | คุณจะไม่มีวันเบื่อเลย |
1:18:26  | ทุกครั้งที่คุณลองทำ |
จะมีอะไรบางอย่างใหม่เกิดขึ้น | |
1:18:33  | ถ้าคุณเพียงแค่พูดว่า “ใช่ ผมเข้าใจ |
1:18:36  | คุณพูดอย่างนี้ อย่างนั้น คุณพูดซ้ำอีก |
1:18:39  | ฉันรู้สึกเบื่อ หรือกึ่งเบื่อ” |
1:18:43  | นั่นหมายถึง คุณไม่ได้ลองทำดู |
1:18:47  | คุณไม่ได้ทดลอง ไม่ได้มองดู |
ไม่ได้ค้นเข้าสู่มัน | |
1:18:52  | ถ้าคุณค้นพบอะไรบางอย่าง |
1:18:55  | คุณก็จะต้องการค้นเข้าสู่มัน |
ให้มากขึ้นและมากขึ้น | |
1:18:58  | ไม่รู้สึกเบื่อเลย แม้ชั่วขณะเดียว |
1:19:05  | เหมือนพวกนักวิจัย เขาไม่เคยเบื่อเลย |
1:19:08  | เขามุ่งมั่นทำงานอย่างแน่วแน่ |
จากเช้าจรดค่ำ | |
1:19:11  | เพราะเขาต้องการจะค้นให้พบ |
อะไรบางอย่างที่ใหม่ การค้นพบใหม่ๆ | |
1:19:22  | เมื่อเราเผชิญกับปัญหาที่ใหญ่หลวง |
ซับซ้อนและยุ่งยาก | |
1:19:30  | นั่นคือ ในธรรมชาติและโครงสร้าง |
ของตัวความคิดนั้น | |
1:19:35  | เป็นเหตุปัจจัยหลักที่ทำให้สมองเสื่อมถอย |
1:19:43  | จากนั้นคุณถามว่า เราจะทำอย่างไรดี |
1:19:49  | ขอให้ฟัง |
1:19:54  | ใครถามคำถามนี้ |
1:19:59  | ความคิดถามคำถามนั้น |
1:20:04  | ใช่ไหม |
1:20:13  | ตราบใดที่คุณถามคำถาม |
1:20:17  | ซึ่งคือความคิดที่พูดว่า “ฉันจะทำอย่างไร” |
1:20:26  | แล้วความคิดก็พูดว่า |
“ฉันต้องค้นหาการกระทำ | |
1:20:29  | ที่จะกำจัดการทำกิจวัตรซ้ำซาก |
กระบวนที่เป็นกลไกของฉัน | |
1:20:34  | ฉันจะหยุดการคิดได้อย่างไร |
1:20:39  | ฉันไม่สามารถหยุดได้ ในชีวิตฉันต้องคิด” |
1:20:43  | แน่นอน คุณต้องคิด |
1:20:46  | ไม่เช่นนั้น คุณไม่มานั่งอยู่ตรงนี้ |
และผมก็ไม่มา | |
1:20:53  | ตราบใดที่ความคิดมีการเคลื่อนไหว |
ในลักษณะใดก็ตาม | |
1:21:05  | ไม่ว่ามันจะทำอะไร |
จะเป็นเหตุที่ทำให้สมองเสื่อม | |
1:21:14  | ถ้าคุณเข้าใจตรงนี้จริงๆ |
1:21:20  | เห็นความจริงของมันจริงๆ คุณก็จบ |
1:21:27  | คุณได้วางความคิด |
ไว้ในที่ทางที่ถูกต้องของมัน | |
1:21:34  | ซึ่งคือ ความคิดเป็นผลของความรู้ |
ความทรงจำ ประสบการณ์ | |
1:21:47  | ความคิดจำเป็นในการขับรถ |
1:21:48  | ในการขึ้นรถกลับบ้าน ไปโรงงาน |
1:21:53  | แต่ถ้าสมองตระหนักว่า ความคิดคือเหตุปัจจัย |
1:22:00  | ที่ทำให้มันเสื่อมถอย |
1:22:03  | มันก็จะพูดว่า |
“ฉันเข้าใจเรื่องนี้แล้ว ฉันเข้าใจแล้ว” | |
1:22:10  | แล้วเราจะสามารถ |
ค้นเข้าสู่สิ่งที่ลึกยิ่งกว่าได้ | |
1:22:13  | คุณเข้าใจไหม ตอนนี้เราอยู่บนพื้นผิวเท่านั้น |
1:22:19  | ดังนั้น การกระทำเชิงบวกของความคิด |
ซึ่งเราทั้งหมดเคยชินกับมัน | |
1:22:28  | คือเหตุที่ทำให้สมองเสื่อมถอย |
1:22:31  | ความคิดที่ไม่กระทำการ |
1:22:35  | ซึ่งคือความคิดที่อยู่ในที่ทาง |
ที่ถูกต้องของมัน | |
1:22:38  | เมื่อเป็นเช่นนั้น สมองจะไม่เสื่อมถอย |
1:22:42  | พอแล้ว |